เริ่มแรกเดิมทีเรามี Thai Lunar Calendar หรือปฏิทินจันทรคติ ปฏิทินที่ใช้ดวงจันทร์เป็นสัญญาณบอกวันหรือเดือนต่าง ๆ ซึ่งนั่นมาพร้อมกับข้างขึ้น ข้างแรม การเปลี่ยนของหน้าตาดวงจันทร์จากคืนมืดเป็นคืนเสี้ยว แสงค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน จนวันจันทร์เต็มดวง ก่อนที่จะค่อย ๆ มืดทีละนิดอีกครั้งจนมืดมิดทั้งหมด และบรรพบุรุษของเราก็จับเอาสัญญาณทางธรรมชาติที่สามารถสังเกตได้ง่ายเหล่านี้มาเป็นการนับวัน เดือน ปี และในหนึ่งรอบของการเปลี่ยนแปลงของดวงจันทร์ ประกอบไปด้วยข้างขึ้น 15 ค่ำ หรือ 15 วัน และข้างแรมอีก 15 วัน จึงทำให้หนึ่งรอบของจันทรคติกินเวลา 30 วัน ปฏิทินจันทรคติจึงเป็นการอ้างอิงจากข้างขึ้นข้างแรม
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เราใช้อยู่กับปฏิทินจันทรคติก็ไม่ได้ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นทางดาราศาสตร์เสียทีเดียว แม้ว่าเราจะกำหนดว่า คืนเดือนมืดหรือคืนเดือนดับของรอบเดือนนั้นคือ แรม 15 ค่ำ แต่ความเป็นจริงแล้วมันอาจจะเป็น แรม 14 หรือ แรม 15 หรือขึ้น 1 ค่ำก็ได้ มันมีความคลาดเคลื่อนอยู่เล็กน้อยเสมอ ในทางดาราศาสตร์จะพิจารณาคืนเดือนดับหรือ New Moon หรือการนับรอบเดือนทางจันทรคติใหม่ จากวันที่ดวงจันทร์ขึ้นและตกพร้อมกับดวงอาทิตย์ กล่าวคือดวงจันทร์ทำมุม 0 องศากับดวงอาทิตย์พอดีเท่านั้น คืนพระจันทร์เต็มดวงหรือ Full Moon ก็เช่นกัน ทางดาราศาสตร์นั้นจะต้องเป็นวันที่ดวงจันทร์ทำมุมกับดวงอาทิตย์ 180 องศาพอดี ดวงจันทร์จะมีความสว่างเต็มดวงและเป็นทรงกลม
จากความคลาดเคลื่อนที่เกิดได้เป็นประจำนี้เอง ที่ทำให้การนับวันแบบจันทรคติไม่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและสากล ปฏิทินที่เราใช้ในปัจจุบันเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมและเทคโนโลยีจากสมัยโรมัน มันถูกใช้และปรับปรุงมาหลายครั้งจนถึงสิ่งที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มันเริ่มต้นด้วย 10 เดือน ซึ่งสันนิษฐานว่าอ้างอิงจากเลขฐาน 10 จากการคำนวณเลขในสมัยนั้น และแรกเริ่มนั้นเดือนแรกของปีคือเดือนมีนาคม เพราะชาวโรมันให้ความเคารพต่อเทพมาร์ส (Mars) ซึ่งเป็นเทพแห่งสงครามเป็นอย่างมาก จากนั้นแต่ละเดือนจะมี 30 และ 31 วันสลับกันไปรวมได้ 10 เดือน แต่พวกเขาก็สังเกตว่า 304 วันต่อปีนี้มีความคลาดเคลื่อน ฤดูกาลในแต่ละปีที่หมุนผ่านนั้นไม่ตรงเดือน จึงมีการขยับเดือนให้ตรงอยู่เป็นระยะ จากนั้นจึงมีการเพิ่มเดือนเข้าไปอีก 2 เดือน ได้แก่ เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ทำให้หนึ่งปีประกอบไปด้วย 355 วัน
จุดเปลี่ยนอีกครั้งคือ สมัยกษัตริย์จูเลียสซีซาร์ ซึ่งมีการปรับปรุงปฏิทินเสียใหม่ ปรับจำนวนวันในแต่ละเดือนให้มีการสลับกัน รวมถึงเป็นจุดที่ริเริ่มให้เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน แต่ถ้าปีไหนเป็นปีอธิกสุรทินก็ให้เพิ่มวันสำหรับเดือนกุมภาพันธ์เป็น 30 วัน ปรับชื่อเดือนมกราคมให้อ้างอิงชื่อเทพ Janus และเป็นเดือนแรกของปีเพื่อให้เกียรติ แม้จะมีความคล้ายคลึงกับปฏิทินที่เราใช้อยู่แต่ก็ยังไม่เหมือนนัก ในยุคนี้เดือนมกราคมยังมีวันเพียง 30 วัน พอยุคสมัยผลัดเปลี่ยนมายังกษัตริย์ออกัสตุส ซีซาร์ (Augustus Caesar) นอกจากจะเปลี่ยนชื่อเดือน 6 เดิมให้กลายเป็น August แล้ว ยังลดทอนวันจากเดือนกุมภาพันธ์มาใส่เดือนสิงหาคมของตัวเองให้เท่ากับเดือนมกราคมของจูเลียสอีกด้วย ในช่วงนี้ปฏิทินถูกเรียกตามชื่อกษัตริย์จูเลียสซีซาร์ ว่า Julian calendar
ต่อมาระบบปฏิทินถูกชำระอีกครั้งโดย พระสันตปาปาเกรกอรีที่ 13 จึงกลายเป็น ปฏิทินจูเลียน-เกรกอเรียน แบบที่เราใช้กันอยู่ปัจจุบัน