แก๊สน้ำตาเป็นกลุ่มสารเคมีที่มีฤทธิ์กระตุ้นเยื่อเมือกบริเวณดวงตา จมูก และทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการระคายเคือง น้ำตาไหล ปวดตา ตาบอดชั่วคราว ระบบทางเดินหายใจติดขัด ระคายเคืองผิวหนัง โดยสารประกอบตั้งต้นที่ใช้ในการผลิตแก๊สน้ำตามีหลายประเภทแตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสถานะของแข็ง ไม่ใช่แก๊ส แต่เมื่อนำมาใช้ควบคุมเหตุจลาจลหรือสลายการชุมนุมในรูปของแก๊สน้ำตา มันจะถูกส่งกระจายออกไปในลักษณะของละอองฝอยหรือในรูปแบบของระเบิด โดยอยู่ในสารผสมที่เรียกว่า Pyrotechnic ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในกระบวนการผลิตดอกไม้ไฟ
สารประกอบตั้งต้นที่ใช้ในการผลิตแก๊สน้ำตา มักใช้องค์ประกอบโครงสร้างร่วมกันคือ Z=C-C-X โดยที่ Z หมายถึงคาร์บอนหรือออกซิเจน และ X คือโบรไมด์หรือคลอไรด์ โดยทั่วไปที่นิยมนำมาใช้มีดังนี้
- CS (Chlorobenzylidenemalononitrile, C10H5N2Cl) หรือเรียกว่า 2-chlorobenzalmalononitrile สารเคมีตัวนี้คิดค้นขึ้นในปี ค.ศ. 1928 โดยนักเคมีชาวอเมริกัน Ben Corson และ Roger Stoughton และถูกใช้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1958 ในกองทัพอังกฤษ เป็นสารเคมีที่มีลักษณะเป็นผลึกสีขาว ละลายน้ำได้ไม่ดี มันจะกระตุ้นความเจ็บปวดและประสาทสัมผัสในร่างกาย มักใช้ผสมกับ Pyrotechnic ซึ่งเมื่อนำมาใช้จะก่อให้เกิดควันที่มีลักษณะเฉพาะ
- CN (Chloroacetophenone, C8H7OCl) มักจะถูกใช้ในลักษณะของการพ่นเป็นละอองฝอย โดยผสมด้วยตัวทำละลายที่หลากหลาย เช่น แอลกอฮอล์หรืออีเธอร์
- Xylyl bromide เป็นของเหลวใสไม่มีสี หรือเป็นผลึก ไอระเหยของมันสามารถสร้างความระคายเคืองต่อดวงตาและเยื่อเมือกได้อย่างมาก
- OC (Oleoresin Capsicum) หรือสเปรย์พริกไทย (Pepper spray) และPelargonic Acid Vallinylamide (PAV) เป็นสารที่สกัดมาจากพริกไทยซึ่งประกอบไปด้วยแคปไซซิน (Capsaicin)
เมื่อแก๊สน้ำตาโดนหรือสัมผัสกับร่างกายทางใดทางหนึ่ง จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อเมือกของตา จมูก ปาก และทางเดินหายใจไปจนถึงปอด นอกจากนี้ยังอาจทำให้มีอาการเวียนศีรษะ อาเจียน เป็นผื่นแดงและปวดแสบปวดร้อนตามผิวหนัง ตัวอย่างเช่น สารเคมี CS จะเชื่อมพันธะกับตัวรับซึ่งเป็นโปรตีนในเซลล์ของมนุษย์ ที่เรียกว่า TRPA1 (Transient Receptor Potential Ankyrin 1) มันเป็นตัวรับที่เหมือนกับตัวรับความเผ็ดของวาซาบิหรือมัสตาร์ด แต่ความรุนแรงของ CS นั้นมีมากกว่าวาซาบิเป็นพันเท่า ดังนั้น แม้สัมผัสเพียงเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ นอกจาก CS แล้วยังมีสารเคมีที่มีความรุนแรงสูงกว่า เรียกว่า CS2 หรือ CX ซึ่งอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานขึ้น สลายตัวช้าลง จึงกลายเป็นแก๊สน้ำตาที่มีอันตรายและส่งผลต่อพื้นที่เป็นเวลาหลายวัน หากแก๊สน้ำตาถูกใช้ในที่โล่งและมีระดับต่ำ ผู้สัมผัสจะถูกกระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองหรือเจ็บปวดในระยะสั้นเท่านั้น แต่หากอยู่ในพื้นที่ปิดและมีระดับสูง ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ทีเดียว
แก๊สน้ำตาอีกประเภท คือ พวกสเปรย์พริกไทย กลุ่มนี้จะกระตุ้นตัวรับความเจ็บปวด TRPV1 ส่วนใหญ่มาจากสารแคปไซซินซึ่งเป็นสารประกอบในพริกหรือพริกไทย สารประกอบที่ใช้กันทั่วไปในหมวดหมู่นี้มีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ ก๊าซ OC ซึ่งเป็นสารละลายเข้มข้นของแคปไซซินธรรมชาติ และ PAV สารนี้มีปฏิกิริยาทางเคมีหรืออาการแพ้น้อยกว่า แต่เมื่อมันมีลักษณะเป็นน้ำมัน (ที่สกัดจากพืช) จึงยากที่จะกำจัดออกไป และอยู่ได้นานกว่า
1. เมื่อสัมผัสกับแก๊สน้ำตา สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การออกจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุด และปล่อยให้ลมพัดเอาแก๊สน้ำตาบางส่วนออกไปจากร่างกาย
2. หากใส่คอนแทกเลนส์อยู่ให้รีบถอดออก และไม่ควรนำมาใช้อีก
3. ล้างตาด้วยน้ำเย็น โดยเอียงศีรษะไปด้านดวงตาที่ต้องการจะล้าง ปล่อยให้น้ำเย็นไหลผ่านจากหัวตาออกไปยังหางตา แล้วทำซ้ำอีกข้าง
4. สั่งน้ำมูกและพยายามขับสารเคมีที่อาจได้รับและอยู่ในร่างกายออกมา
5. ถอดเสื้อผ้าโดยพยายามอย่าให้เสื้อผ้าเปียก แล้วทำความสะอาดเสื้อผ้าที่สัมผัสกับแก๊สน้ำตาด้วยน้ำเย็น อย่าใช้น้ำร้อนเพราะจะทำให้สารเคมีระเหยขึ้นมาได้
6. อาบน้ำเย็น หลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อน เพราะจะทำให้รูขุมขนเปิดและมีอาการแสบร้อนมากขึ้น
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ทำไมวาซาบิจึงมีรสเผ็ด