อ่านเรื่องราวของกามนิต (ภาคดิน) >> คลิก <<
หลังจากที่กามนิตตายที่โลกมนุษย์แล้ว ก็ได้ไปเกิดใหม่อยู่ที่สวรรค์ชั้นสุขาวดี กามนิตตื่นขึ้นมาในร่างที่เป็นเทวดาด้วยความงงว่าเกิดอะไรขึ้น ตนเองเป็นใคร และอยู่ที่ไหน ระหว่างที่กำลังสับสนอยู่นั้นก็มีเทวดาแถวนั้นเข้ามาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นกับกามนิต และกามนิตก็ได้มีโอกาสไปสูดกลิ่นต้นปาริชาต ซึ่งต้นปาริชาตเป็นต้นไม้ที่อยู่บนสวรรค์ เชื่อกันว่าใครที่ได้สูดดมกลิ่นของต้นปาริชาตจะสามารถระลึกชาติได้ เมื่อกามนิตได้สูดดมกลิ่นต้นปาริชาตเข้าไป ก็ทำให้กามนิตจำเรื่องราวทั้งหมดได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตัวเองบ้าง พอกามนิตระลึกชาติได้ก็นึกถึงวาสิฎฐีขึ้นมาทันที
หลังจากนั้นกามนิตได้กลับไปยังดอกบัวที่ตัวเองตื่นขึ้นมาในตอนแรก (กามนิตเกิดขึ้นมาจากในดอกบัว) เทวดาแถวนั้นที่อยู่มานานแสนนาน ก็ได้เล่าให้กามนิตฟังว่า ตอนที่ดอกบัวของกามนิตผุดขึ้นมา หมายถึงตอนที่กามนิตในโลกมนุษย์ตั้งใจว่าจะเริ่มปฏิบัติธรรม ตั้งใจว่าจะเริ่มทำตัวเป็นคนดี มุ่งมั่นอยากไปอยู่บนสวรรค์ และข้าง ๆ ดอกบัวของกามนิตก็มีดอกบัวอีกดอกหนึ่งผุดขึ้นมาพร้อมกัน กามนิตก็พอจะเดาได้ว่าดอกบัวดอกนั้นต้องเป็นของวาสิฎฐีแน่นอน
เวลาผ่านไปไม่นานก็เป็นไปตามที่กามนิตคิดไว้ ดอกบัวของวาสิฎฐีได้บานออกมา และมีเทพธิดาวาสิฎฐีเกิดขึ้นมาจากดอกบัวดอกนั้น กามนิตดูแลวาสิฎฐีที่ยังจำอะไรไม่ได้เป็นอย่างดี และได้พาวาสิฎฐีไปสูดดมกลิ่นของต้นปาริชาต จนนางวาสิฎฐีจำเรื่องราวทั้งหมดได้ และก็ได้เริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กามนิตฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางบ้าง หลังจากที่ทั้งคู่แยกกันไป
หลังจากที่กามนิตกลับเมืองไป วาสิฎฐีก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างเศร้าสร้อยที่เมืองของตัวเองเป็นเวลานานแสนนาน ช่วงนั้นสาตาเคียรได้พยายามจีบวาสิฎฐีมาตลอด โดยการเข้าทางพ่อ แน่นอนว่าวาสิฎฐีไม่ยอมแต่งด้วย พร้อมกับบอกพ่อว่า ถ้าพ่อจับนางแต่งกับสาตาเคียร นางจะฆ่าตัวตาย จึงทำให้สาตาเคียรจีบวาสิฎฐีไม่สำเร็จสักที
จนกระทั่งวันหนึ่ง สาตาเคียรได้ออกไปปราบองคุลีมาล หลังจากนั้นก็ได้กลับมาที่เมืองและประกาศให้ทุกคนในเมืองรู้ว่าเขาได้ฆ่าองคุลีมาลตายไปแล้ว ทำให้วาสิฎฐีดีใจมาก เพราะคิดว่ากามนิตจะได้มีโอกาศเดินทางมาที่กรุงโกสัมพีได้สักที แต่คืนนั้นสาตาเคียรได้เรียกวาสิฎฐีให้มาพบ และบอกกับนางว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกปรากฎว่าสาตาเคียร์นั้นจับองคุลีมาลได้จริง ๆ แถมยังพาองคุลีมาลมาเจอกับวาสิฎฐี และบังคับให้องคุลีมาลสาบานต่อหน้าวาสิฎฐีว่าตนได้จับตัวกามนิตไป แล้วมีกฎอยู่ข้อหนึ่งก็คือ ถ้าใครที่ตนจับตัวไว้ได้ แล้วไม่มีใครมาไถ่ตัวไป ตนจะต้องฆ่าทิ้ง คือตัวเองก็ไม่ได้บอกกับนางวาสิฎฐีว่ามีคนมาไถ่ตัวกามนิตไปไหม แต่บอกเป็นปลายเปิดให้วาสิฎฐีคิดไปเอง ทำให้วาสิฎฐีเข้าใจผิดคิดว่ากามนิตตายไปแล้ว ซึ่งในวันที่สาตาเคียรพาองคุลีมาลมาสาบานต่อหน้าวาสิฎฐีนั้น ทำให้องคุลีมาลหลุดหนีไปได้
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น วาสิฎฐีก็จำเป็นที่จะต้องแต่งงานกับสาตาเคียร และก็ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุขเท่าไหร่ เพราะวาสิฎฐีไม่ได้รักสาตาเคียรเลย ดังนั้นความรักที่รักข้างเดียวมันอยู่ได้ไม่นาน สาตาเคียรแต่งงานกับเมียใหม่อีก 2 คน ซึ่งนางวาสิฎฐีก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะตัวเองก็ไม่ได้รักสาตาเคียรอยู่แล้ว
เรื่องราวก็ได้ผ่านเลยไป จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีเหตุการณ์สำคัญมากเกิดขึ้นกับนางวาสิฎฐี วาสิฎฐีที่กำลังนั่งเล่นอยู่ลานบ้านของตัวเอง แต่อยู่ ๆ ก็มีโจรบุกเข้ามา ซึ่งโจรคนนั้นก็คือองคุลีมาล ทำให้วาสิฎฐีตกใจมาก คิดว่าจะมาปล้นหรือทำร้ายตนเอง แต่สิ่งที่องคุลีมาลทำก็คือการสารภาพกับวาสิฎฐี เขาขอโทษวิสิฎฐี และบอกว่าความจริงแล้วตัวเองโกหกวันที่ไปสาบานต่อหน้าวาสิฎฐี เขาพยายามพูดเลี่ยง ๆ ความจริงแล้วว่ากามนิตยังไม่ตาย เขาได้ปล่อยให้กามนิตกลับเมืองไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดเป็นเพียงแผนของสาตาเคียรที่ตกลงกับองคุลีมาลไว้ว่า ถ้าองคุลีมาลยอมหลอกวาสิฎฐีว่ากามนิตตายแล้ว สาตาเคียรจะยอมปล่อยองคุลีมาลไป แต่สาตาเคียรได้หักหลังองคุลีมาล คือปล่อยไปแล้วแต่ไม่ได้ปล่อยจริง เขากลับให้คนไปดักรอองคุลีมาลเพื่อที่จะได้จับตัวเขากลับมา
แต่องคุลีมาลก็หนีออกมาได้ ดังนั้นจึงทำให้องคุลีมาลแค้นสาตาเคียรมาก และตั้งใจว่าจะกลับมาแก้แค้น จึงอยากมาบอกความจริงทั้งหมดกับวาสิฎฐีให้ได้รับรู้ และถามวาสิฎฐีว่าแค้นกับการกระทำของสาตาเคียรเหมือนกันไหม ถ้าแค้นเหมือนกันก็อยากให้วาสิฎฐีร่วมมือกับองคุลีมาล โดยองคุลีมาลได้ถามกับวาสิฎฐีว่าสาตาเคียรจะออกเดินทางไปทำงานนอกเมืองเมื่อไหร่ ทำภารกิจอะไร ที่ไหนบ้าง และใช้เส้นทางไหนในการเดินทาง เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการแก้แค้นที่สุด เหตุการณ์นี้ทำให้วาสิฎฐีเครียดทั้งคืน ได้แต่คิดว่าจะบอกดีไหม จะร่วมมือกับองคุลีมาลเพื่อฆ่าสาตาเคียรดีหรือเปล่า ใจหนึ่งก็คิดว่าตนเองเป็นคนดีและไม่เคยทำร้านใครมาก่อน แต่อีกใจหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ว่าสาตาเคียรนั้นเลวมากที่ทำให้ชีวิตของนางพังไปหมด ทำให้ความรักระหว่างตัวเองกับกามนิตไม่สมหวัง วาสิฎฐีคิดไปคิดมาอยู่แบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเช้า
ในวันนั้นสาตาเคียรที่ยังไม่รู้ว่าวาสิฎฐีรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว ได้ปรึกษากับวาสิฎฐี เพราะเห็นว่าวาสิฎฐีเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างฉลาด เขาได้ปรึกษาว่าจะต้องออกนอกเมือง เขาควรใช้เส้นทางไหนและไปเวลาไหนดี ซึ่งเข้าทางวาสิฎฐีพอดี วาสิฎฐีจึงได้วางแผน โดยในคืนนั้นเธอได้นัดเจอองคุลีมาล และได้บอกกับองคุลีมาลเรื่องของสาตาเคียร แต่พอองคุลีมาลได้ฟังจนจบก็พูดขึ้นมาว่า ขอโทษจริง ๆ แต่ข้าไม่ใช่องคุลีมาลคนเดิมอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่องคุลีมาลมหาโจร แต่เป็นองคุลีมาลสาวกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้ปล่อยวางทั้งหมดแล้ว
นางวาสิฎฐีจึงงงมากว่าเกิดอะไรขึ้นกับองคุลีมาล เขาจึงเล่าเรื่องราวของตัวเองให้วาสิฎฐีฟังว่าได้ไปเจอพระพุทธเจ้าและได้ไปฟังธรรมเทศนา แล้วรู้สึกว่าตัวเองไม่อยากฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอีกแล้ว เมื่อวาสิฎฐีได้ยินเช่นนั้นก็แปลกใจมาก แล้วก็คิดว่าทำยังไงนางถึงจะได้พบกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบบนี้บ้าง องคุลีมาลก็เลยแนะนำวาสิฎฐีว่าพระพุทธเจ้าจะไปแสดงธรรมเทศนาอยู่ที่ไหนบ้าง ทำให้หลังจากนั้นนางวาสิฎฐีได้เข้าไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้าทุกวัน
จนกระทั่งวันหนึ่ง ชาวบ้านได้ลือกันว่าองคุลีมาลกลับมา มีคนเห็นแล้วจำหน้าองคุลีมาลได้หลายคน ส่วนใหญ่จะพบเห็นองคุลีมาลอยู่ในพื้นที่ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมอยู่ ทุกคนคิดว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ องคุลีมาลจะต้องวางแผนเข้าไปปล้นผู้คนที่เข้ามาฟังธรรมแน่นนอน จึงได้มีการแจ้งเจ้าเมืองโกสัมพี ทำให้เจ้าเมืองโกสัมพีจับได้ว่าที่สาตาเคียรบอกว่าเขาจัดการองคุลีมาลแล้วนั้นไม่เป็นความจริง เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เจ้าเมืองโกสัมพีจึงได้เรียกสาตาเคียรเข้าไปด่า สาตาเคียรกลับมาบ้านก็เครียดมาก ไม่รู้จะทำยังไงดี จึงขอคำปรึกษาจากวาสิฎฐี วาสิฎฐีก็บอกกับสาตาเคียรว่า ตนมีวิธีที่จะทำให้เจ้าเมืองหายโกรธสาตาเคียรได้ แต่ถ้าสาตาเคียรทำตามวิธีของตนแล้วเจ้าเมืองหายโกรธ ต้องสัญญาว่าตนจะสามารถขออะไรก็ได้อย่างหนึ่ง และสาตาเคียรจะต้องยกให้ แน่นอนว่าสาตาเคียรตอบตกลง วาสิฎฐีก็เลยบอกว่าให้สาตาเคียรพาเจ้าเมืองไปที่ที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมแล้วทุกอย่างก็จะกระจ่างเอง และในวันนั้นวาสิฎฐีก็จะตามไปด้วย
ปรากฎว่าวันรุ่งขึ้น เจ้าเมืองโกสัมพีก็ได้ไปถึงที่ที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเทศนา แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็กระจ่างโดยทันที เพราะก็รู้แล้วว่าองคุลีมาลนั้นออกบวช และเจ้าเมืองก็ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าไปด้วย เมื่อเรื่องทุกอย่างคลี่คลายวาสิฎฐีก็ได้ยื่นข้อเสนอที่ตัวเองต้องการกับสาตาเคียรว่า ขอให้สาตาเคียรอนุญาติให้ตัวเองออกบวชเป็นภิกษุณีในพุทธศาสนาตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งสาตาเคียรทำอะไรไม่ได้ และวาสิฎฐีก็ได้ขอต่อหน้าเจ้าเมืองโกสัมพีด้วย สาตาเคียรจึงต้องยอมรับข้อตกลงของวาสิฎฐี นับแต่นั้นเป็นต้นมาวาสิฎฐีก็ได้บวชเป็นภิกษุณี และได้บำเพ็ญตบะมาเรื่อย ๆ แต่ก็เหมือนยังมีอะไรอยู่ในใจของวาสิฎฐีอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งวันหนึ่งที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปที่อื่น ท่านก็ได้ให้ทุกคนเข้าเฝ้าเพื่อรับคำสอนส่วนตัว หมายความว่าแต่ละคนก็จะมีธรรมะที่ควรภาวนาไม่เหมือนกัน ซึ่งคนอื่นก็ได้รับคำสอนยาก ๆ หลายข้อไป แต่พอวาสิฎฐีไปถึงพระพุทธเจ้าก็ได้ให้คำสอนแก่วาสิฎฐีเพียงแค่ข้อเดียวเท่านั้นคือ“ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” วาสิฎฐีจึงถามกลับว่า “แค่นี้หรือเจ้าคะ” พระพุทธเจ้าก็ตอบว่า “มีเท่านั้น” แล้วพระพุทธเจ้าก็เสด็จไปที่อื่น ทิ้งให้วาสิฎฐีพิจารณาธรรมะข้อนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยให้วาสิฎฐีดีขึ้นเลย เพราะวาสิฎฐีได้รู้ความจริงไปแล้วว่ากามนิตยังไม่ตาย จึงทำให้วาสิฎฐียังมีกิเลสอยู่ และด้วยความที่ตัวเองนั้นบวชเป็นภิกษุณีอยู่ ก็ทำให้ตัวเองนั้นกลายเป็นภิกษุณีที่ป่วยด้วยโรครัก
วาสิฎฐีจึงกลับไปหาพระองคุลีมาล แล้วบอกว่า “ท่านต้องรับผิดชอบ ที่ข้าเป็นอยู่ทุกวันนี้มันเป็นเพราะท่านคนเดียว” วาสิฎฐีบังคับให้พระองคุลีมาลเดินทางไปที่กรุงอุชเชนีเพื่อสืบข่าวของกามนิต พระองคุลีมาลก็ตกลงไม่ได้ปฏิเสธอะไร และได้ออกเดินทางจากเมืองโกสัมพีไปยังเมืองอุชเชนี จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ที่องคุลีมาลไปโผล่อยู่ที่บ้านของกามนิต แล้วกามนิตก็ตกใจนั่นเอง
หลังจากนั้นพระองคุลีมาลก็เดินทางกลับมา และได้มาแจ้งข่าวให้กับวาสิฎฐีทราบว่ากามนิตได้แต่งงานไปแล้ว มีเมียถึง 2 คนที่ทะเลาะกันทุกวัน หลังจากนั้นองคุลีมาลก็ได้ขอตัวออกเดินทางตามพระพุทธเจ้าไป และในที่สุดวาสิฎฐีก็เหมือนจะคิดได้ขึ้นมาแล้วว่า ถ้าตัวเองยังอยู่ตรงนี้ต่อไปจะไม่มีทางบรรลุแน่ ๆ เธอควรจะเดินทางตามพระพุทธเจ้าไป วาสิฎฐีก็เลยเดินทางออกจากกรุงโกสัมพีไป และมุ่งหน้าตามไปยังที่ที่พระพุทธเจ้าอยู่ วาสิฎฐีเดินทางตามไปเรื่อย ๆ จนถึงเมืองกุสินารา แล้วนางก็เห็นพระอานนท์ที่กำลังยืนเกาะประตูร้องไห้อยู่ คือวาสิฎฐีไปทันปัจฉิมโอวาสพอดี ไปถึงก็ได้ฟังปัจฉิมโอวาสของพระพุทธเจ้าที่บอกว่า “ให้ทุกคนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท” แล้วหลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปในที่สุด ทำให้วาสิฎฐีที่ป่วยมาตลอด และออกเดินทางตามพระพุทธเจ้าด้วยความลำบากตรากตรำมาตลอดนั้นรับไม่ไหว และขาดใจตาย ณ ที่แห่งนั้นไปในที่สุด
หลังจากนั้นวาสิฎฐีก็ได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์กับกามนิต ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เล่าเรื่องทั้งหมดนั้น ทั้ง 2 คนไม่ได้อยู่ในสวรรค์ชั้นสุขาวดีอย่างเดียว แต่มีเรื่องราวต่าง ๆ ที่แทรกขึ้นมาเรื่อย ๆ เช่น สุขาวดีเริ่มไม่สวยเหมือนเดิม ดอกบัวเริ่มเหี่ยว วาสิฎฐีก็ได้บอกกับกามนิตว่า “เห็นไหม แม้แต่สวรรค์ก็ยังไม่จีรัง สวรรค์ก็อยู่ในกฎของไตรลักษณ์เหมือนกัน (อนิจจัง, สุขขัง, อนัตตา)” ทั้ง 2 คนได้มีการตั้งจิตกันว่าจะไปอยู่ในที่ที่สูงกว่านี้ ทั้งคู่จึงได้ไปเกิดเป็นดาวแฝดในพรหมโลก ถือเป็นช่วงที่ทั้งคู่มีความสุขที่สุดเพราะได้คุยกันเป็นระยะเวลายาวนานมาก ทั้งคู่ก็ยังเล่าเรื่องของกันและกันอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ จนรัศมีของท้าวมหาพรหมณ์ที่อยู่พรหมโลกเริ่มมัวหมองลงบ้าง ทำให้วาสิฎฐีคิดว่าแม้กระทั่งโลกก็ไม่จีรังเหมือนกัน และเมื่อวาสิฎฐีได้เพ่งจิตไปเรื่อย ๆ จนเห็นความจริงของชีวิต ก็ทำให้ดวงจิตของวาสิฎฐีนั้นนิพพานไปในที่สุด ทิ้งให้กามนิตอยู่และพิจารณาต่อไปว่าวาสิฎฐ๊ก็ไม่อยู่แล้ว แม้แต่วาสิฎฐีก็ยังเป็นอนิจจัง กามนิตเริ่มคิดได้จนกระทั่งดวงจิตของกามนิตได้นิพพานตามไปในที่สุด
พอพูดถึงเรื่อง “กามนิต” หลายคนอาจคิดว่าจะต้องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในสมัยพุทธกาลแน่ ๆ เพราะเนื้อเรื่องเกี่ยวกับพุทธศาสนา พุทธประวัติ และบางคนอาจจะเคยเห็นคำว่า “กามนิตสูตร” ทำให้มั่นใจว่าต้องเป็นเรื่องจริง แต่ความจริงแล้วกามนิตเป็นนิยายที่แต่งขึ้นโดยคาร์ล แอดอล์ฟ นักเขียนชาวเยอรมัน ต่อมาได้มีการแปลนิยายจากภาษาเยอรมันเป็นภาษาอังกฤษ และเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป ก็ได้นำมาแปลเป็นเวอร์ชั่นภาษาไทย โดยใช้วิธีแปลเก็บความ และเห็นว่าไหน ๆ ก็ดูเป็นพระสูตรอยู่แล้ว จึงใส่สไตล์ของพระสูตรเข้าไปด้วยนั่นเอง
บทความที่เกี่ยวข้อง
เรื่องราวของ “กามนิต” (ภาคพื้นดิน)
“เมดูซ่า” เหยื่อของอำนาจทางเพศที่ถูกมองข้าม
วิเคราะห์ชีวิตของ “มารี อ็องตัวเนตต์” ราชินีแห่งฝรั่งเศส แย่จริง หรือ แค่แพะ ?
เปิดประวัติชานมไข่มุกแสนอร่อยที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน !
“วันทอง” หญิงปากร้ายยืนหนึ่งแห่งเมืองสุพรรณ
รวม WEBTOON อ่านสนุก เนื้อเรื่องน่าติดตาม
แหล่งข้อมูล
หนังสือกามนิต (แปลโดย เสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป)