ประโยคแรกให้ความหมายว่า บุคคลที่สอง (he) ที่ชอบไมค์ มากกว่าชอบฉัน ในขณะที่ประโยคสองสื่อความหมายว่า บุคคลที่สอง (he) ชอบไมค์ มากกว่าที่ฉันชอบไมค์
จะสังเกตได้ว่า ประโยคแรกใช้ me โดยที่จริง ๆ แล้วรูปประโยคสามารถแตกออกมาได้ว่า He likes like more than (he likes) me โดยที่ me เป็นสรรพนามว่าหมายถึงตัวเรา (เป็นกรรม) หมายถึง ตัวเราถูกชอบโดยไมค์
ส่วนประโยคที่สอง คำว่า do สามารถขยายให้ชัดได้ว่า He likes Mike more than I like Mike (หรือย่อเป็น do) ก็จะได้ความหมายที่ต่างกันออกไป
ประโยคแรกให้ความหมายว่า เขาหยุดสิ่งที่กำลังทำ เพื่อที่จะ (to do something) โทรไปหาหล่อน แต่ประโยคที่สอง calling เป็น gerund หรือกริยาย่อยที่มาเสริมกริยาหลักด้านหน้า ให้ความหมายว่า หยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ นั่นหมายความว่า เขากำลังหยุดโทรหาหล่อน
ประโยคนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดมากของการใช้ , (comma) แบ่งประโยคให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นความหมายเพี้ยนเลยทันทีค่ะ ประโยคแรกคือ พวกเรามากินคุณยายกันเถอะ!! ฟังดูเหมือนหนังสยองขวัญนะคะ แต่ประโยคหลังคือ การที่ลูกหลานกำลังชวนคุณยายว่า มาค่ะ ทานข้าวกันเถอะค่ะคุณยาย
คล้ายกับตัวอย่างแรกค่ะ to + verb คือการที่จะทำอะไรบางอย่าง ดังนั้นประโยคแรกหมายถึง ฉันกำลังจะตัดผม โดยที่มีความหมายว่า ฉันจะตัดด้วยตัวเองนะ พึ่งไปเรียนตัดผมมาเมื่อวาน แล้วจะลองตัดกับผมตัวเองดู
ส่วนประโยคที่สอง have something + verb คือการที่เรานำอะไรบางอย่างไปทำกริยาบางอย่าง ในที่นี้ก็คือ ฉันจะนำผมไปตัด หมายถึง นำไปให้ช่างตัดผมตัดให้นั่นเอง
Have something + verb เป็นรูปประโยคที่ใช้กันบ่อยมาก ๆ เช่น
Can you have all the works finished by today? (คุณทำงานทั้งหมดให้เสร็จภายในวันนี้ได้ไหม?)
I will have my car fixed tomorrow. (ฉันจะเอารถไปซ่อมพรุ่งนี้ละ)
แต่ถ้าเราบอกว่า I will fix my car tomorrow. หมายถึง เราจะลงมือซ่อมรถเองเลย
เรียบเรียงโดย เบญจมาภรณ์ บุนนาค