ทุกสิ่งในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เมื่อเริ่มต้นแล้ว ย่อมมีการสิ้นสุด
เมื่อเกิดเหตุการณ์ ที่ต้องพลัดพรากจากสิ่งของ หรือบุคคลที่รัก ความโศกย่อมเกิดขึ้น ผู้ที่ถูกความโศกครอบงำ บางคนเสียใจหนักจนเจ็บไข้หรือเสียชีวิต หรือฆ่าตัวตายก็มี จนเป็นบ้าไปก็มี บ้างก็ซึมเศร้า หงอยเหงา ดังเห็นได้จาก เรื่องราวของนางกีสาโคตมี ผู้โศกเศร้าเพราะสูญเสียบุตรที่รัก หรือ นางปฏาจารา ที่สิ้นสติ เป็นบ้า เพราะเสียทุกคนในครอบครัวในเวลาเดียวกัน
การปล่อยให้ความโศกเข้าครอบงำจนขาดสติ ย่อมเกิดโทษมากมายดังกล่าว จึงจำเป็นต้องศึกษาหาวิธีระงับหรือคลายความโศก
มาดูหลักการสอนของพระพุทธองค์ ที่ใช้สอนนางทั้งสอง ผู้ทุกข์ใจเจียนตายและเป็นบ้า จากการพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่หวงกัน เพื่อนำมาใช้ในยามที่ต้องเผชิญความทุกข์จากการพลัดพรากจากของรัก ของเจริญใจกัน
นางกีสาโคตมีอุ้มศพบุตรชายที่เสียชีวิต ไปขอยาคืนชีวิตจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงมีกุศโลบาย ในการให้นางคลายโศกเศร้า และค้นพบความจริงด้วยตัวของนางเอง
ด้วยพระปรีชาญาณ ทรงรู้ว่า แม้จะตรัสสอน ลูกของนางตายแล้ว ไม่มียารักษาบุตรของนางได้ นางก็คงไม่เชื่อ จึงหาวิธีสอนนางได้เรียนรู้บทเรียนแห่งความเจ็บปวดครั้งนี้ด้วยตนเอง
ด้วยการให้นางคลายโศก มามีความหวังต่อยาต่อชีวิต
จากนั้นให้นางไปหาเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตาย จนท้ายที่สุด เมื่อนางไปทุกบ้าน ก็ได้รับรู้ความจริงของชีวิต ก็สลดใจและฉุกคิดได้ว่า ทุกคนมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ใช่บุตรของตนเท่านั้นที่ตาย
เมื่อเห็นว่า สภาวะจิตใจของนางพร้อมรับธรรมแล้ว จึงตรัสสอนว่า
นางจึงบรรลุโสดาบัน และบวชเป็นภิกษุณี
ต่อมาพระเถรีได้ไปทำความสะอาดโรงอุโบสถ เห็นแสงประทีปที่จุดอยู่ลุกโพลงขึ้น แล้วหรี่ลงสลับกันไป
จึงเอาดวงประทีปนั้นเป็นอารมณ์ กรรมฐานว่า
สัตว์โลกก็เหมือนกับแสนประทีปนี้ มีเกิดขึ้นและดับไป
แต่ผู้ถึงพระนิพพานไม่เป็นอย่างนั้น
ขณะนั้น พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณว่านางกำลังยึดเอาเปลวดวงประทีปเป็นอารมณ์กรรมฐานอยู่นั้น จึงทรงแผ่พระรัศมีไปปรากฏ แล้วตรัสว่า:-
เมื่อสิ้นสุดพระพุทธดำรัส นางก็ได้บรรลุพระอรหัตผล และได้รับยกย่องเป็นเอกทัตคะ ด้านผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง
คือ ดำรงตนเป็นพระเถรีผู้เคร่งครัดในการใช้สอยบริหาร ยินดีเฉพาะผ้าไตรจีวรที่มีสีปอน ๆ และเศร้าหมอง
*********************************************************
นางปฏาจารา เป็นธิดาของเศรษฐีในกรุงสาวัตถี เป็นหญิงรูปร่างงดงามและได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ครั้นนางมีอายุได้ 16 ปี ได้หลงรักชายคนใช้ในบ้านของตนเอง จึงหนีไปอยู่ถิ่นทุรกันดาร ต่อมาตั้งครรภ์ ครั้นถึงเวลาใกล้คลอด ขอร้องให้สามีพากลับไปหาบิดามารดา ตามประเพณีโบราณของชาวอินเดียที่มักจะคลอดบุตรที่สกุลเดิมของตน
แต่สามีปฏิเสธคำขอร้อง เพราะกลัวเกรงบิดามารดาของนางจะเอาโทษ นางจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพียงลำพัง และคลอดบุตรคนแรกในระหว่างทาง เมื่อสามีตามไปพบ และพานางกลับบ้าน
ต่อมา นางได้ตั้งครรภ์อีกเป็นครั้งที่สอง และได้ขอร้องสามีเหมือนครั้งก่อน แต่สามีปฏิเสธคำขอร้องเช่นนั้นอีก นางจึงพาบุตรน้อยผู้กำลังหัดเดินหนีออกจากบ้าน ระหว่างทางนางปวดท้องอย่างรุนแรง จะคลอดบุตร ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก สามีตามไปพบ จึงไปตัดไม้เพื่อนำมาทำที่กำบังฝนชั่วคราว แต่ถูกงูพิษกัดถึงแก่ความตาย
นางปฏาจาราคลอดบุตรด้วยความยากลำบาก แล้วอุ้มทารกและจูงบุตรน้อยตามไปพบศพของสามี จึงมีความเศร้าโศกเสียใจมาก ตัดสินใจจะพาบุตรไปหาบิดามารดาในเมือง
เมื่อมาถึงลำธารใหญ่ไหลเชี่ยว นางไม่อาจจะพาบุตรข้ามน้ำพร้อมกันได้ จึงให้บุตรคนโตยืนรอที่ฝั่งข้างหนึ่ง แล้วอุ้มทารกแรกเกิดเดินข้ามน้ำไปอีกฝั่งหนึ่ง และวางทารกน้อยไว้ที่อันเหมาะสม
ขณะเดินข้ามน้ำมาถึงกลางน้ำ เพื่อรับบุตรคนโต นางเห็นเหยี่ยวตัวหนึ่งกำลังบินโฉบลงเพื่อจิกทารก เพราะเข้าใจว่าเป็นก้อนเนื้อ นางจึงยกมือขึ้นไล่เหยี่ยว แต่ไม่อาจช่วยชีวิตทารกน้อยได้
ขณะนั้น บุตรคนโตมองเห็นนางยกมือขึ้นทั้งสองข้าง ก็เข้าใจว่ามารดาเรียก จึงก้าวลงสู่แม่น้ำอันเชี่ยวและถูกน้ำพัดพาหายไป
นางปฏาจาราได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในเวลาใกล้กัน แต่นางยังตั้งสติได้ เดินร้องไห้เข้าไปสู่เมืองสาวัตถี และได้ทราบข่าวจากชาวเมืองคนหนึ่งในระหว่างทางว่า ลมและฝนได้พัดเรือนบิดามารดาของนางพังทลาย และทั้งบิดามารดานางก็ตายไปด้วย
ครั้นเมื่อนางทราบช่าวเช่นนี้ ก็ไม่อาจตั้งสติได้ ขาดสติจนเป็นบ้า
เมื่อนางเสียใจจนขาดสติ เป็นบ้า สลัดผ้านุ่งทิ้ง แล้ววิ่งบ่นเพ้อ เข้าไปวัดพระเชตวันมหาวิหาร ในขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัท ผู้คนต่างขับไล่ว่า คนบ้าๆ อย่าให้เข้ามา แต่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้นางเข้ามา
พระพุทธองค์เริ่มต้นด้วยการเรียกสตินางคืนกลับมา ตรัสว่า
"จงกลับได้สติเถิด น้องหญิง."
นางจึงกลับได้สติด้วยพุทธานุภาพ เกิดหิริโอตตัปปะอายที่ไม่ได้นุ่งเสื้อผ้า มีบุรุษผู้หนึ่งจึงโยนผ้าห่มไปให้นางนุ่ง
เมื่อนางได้สติแล้ว ต่อมา พระพุทธองค์ได้ตรัสให้นางคลายโศกว่า:-
ปฏาจารา ฟังพระดำรัสนี้แล้ว ก็คลายความเศร้าโศกลง
พระบรมศาสดาทรงทราบว่านาง หายจากความเศร้าโศกลงแล้ว
สภาวะจิตใจพร้อมจะรับธรรมะแล้ว จึงตรัสต่อไปว่า:-
เมื่อได้ฟังดังนั้น นางปฏาจาราจึงบรรลุพระโสดาบัน อุปสมบทเป็นภิกษุณีมุ่งบำเพ็ญเพียร
วันหนึ่งภิกษณี ปฏาจาราเอาหม้อน้ำตักล้างเท้า เทน้ำลงไป น้ำไหลไปได้หน่อยหนึ่งแล้วขาด จึงเทลงครั้งที่ 2 น้ำได้ไหลไปไกลกว่าเดิม เทน้ำครั้งที่ 3 น้ำไหลไปไกลกว่าครั้งที่ 2
พระศาสดาประทับในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไปเป็นดังประทับยืนตรัสอยู่เฉพาะหน้าของนาง ตรัสสอนพระเถรีว่า
จึงเข้าใจในหลักธรรมและบรรลุอรหันตผลและเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
พระปฏาจาราเถรีมีความชำนาญในพระวินัยมากจนได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายผู้ทรงพระวินัย และพระปฏาจาราเถรีได้เป็นกำลังในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ซึ่งการที่นางได้ผ่านพ้นจุดสำคัญในชีวิต ต่อมานางได้เป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่พุทธศาสนา ด้วยเป็นผู้แนะแนวชีวิตที่ดี จากชีวิตที่มากด้วยประสบการณ์ได้ผ่านมาทั้งความสุข ความสมหวัง และความทุกข์ความผิดหวังอย่างสาหัสจนเกือบกลายเป็นคนบ้าเสียสติถาวร
เมื่อนางได้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตแห่งชีวิตเข้ามาสู่ร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนาแล้วประสบการณ์เหล่านั้นกลับเป็นประโยชน์แก่นางและคนอื่น คือสตรีอื่น ๆ ที่มีปัญหาชีวิตพากันมาขอคำแนะนำ นางได้ให้คำแนะนำที่ดี และช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาเหล่านั้น จนกระทั่งได้รับยกย่องว่า “เป็นครูยิ่งใหญ่” ของพวกเขา