พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ แห่งวัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก) ได้เทศนาแก่คณะนิตยสาร คนพ้นโลก เมื่อวันเสาร์ที่ 5 เม.ย. 2523 ก่อนที่ท่านจะละสังขารเนื่องจาก เหตุการณ์ เครื่องบินตก เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2523
กำหนดใจให้สงบก่อน หักความร้อน ความวุ่นวายของจิต...
...คำว่าพ้นโลกนี้ คือหมายถึงว่า พ้นไปจากโลกอันนี้
โลกนี้มีอยู่ 3 โลก ที่ธรรมะเรียกว่าโลก คือ
กามโลก 1 รูปโลก 1 อรูปโลก 1 มีเท่านี้เรียกว่าโลก
ทีนี้คณะคนพ้นโลก คือ พ้นจากโลกทั้ง 3 นี้ คือ พ้นจากกามโลก รูปโลก อรูปโลก
และทางที่จะพ้นจากกามโลก รูปโลก อรูปโลก นั้นเป็นอย่างไร
ท่านก็แสดงในมัชฌิมาปฏิปทาทางสายกลาง ย่อลงมาก็คือ ทาน ศีล ภาวนา นี้เอง
ทาน ศีล ภาวนานี้ เป็นทางพ้นโลกทั้ง 3 เหตุไฉนจึงเป็นทางพ้นโลกทั้ง 3 เราจะบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนาประเภทใดนี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระอานนท์ ในศิริมานันทสูตรโดยย่อ ๆ ว่า ดูก่อนอานนท์ ท่านที่จะพ้นโลกทั้ง 3 คือ กามโลก รูปโลก อรูปโลก นี้
เมื่อบุคคลผู้มีศรัทธา ความเชื่อก็เลื่อมใส บำเพ็ญในทาน ศีล ภาวนา ไม่ต้องพูดถึง ศีล สมาธิ ปัญญา อันบุคคลผู้ที่บำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนาเป็นผู้แสวงบุญนั้นเพื่อลาภสักการะ หรือเพื่อยศ เพื่อความสรรเสริญ เพื่อความสุขในกามโลก รูปโลก อรูปโลกนี้ ยังไม่ได้จัดเข้าเป็นข้อปฏิบัติที่ให้ถึงธรรมปฏิบัติโดยแท้ ยังไม่อาจพ้นไปจากโลกได้ เพราะธรรมเหล่านี้มีอยู่ในโลก ความมีลาภก็มีอยู่ในโลก ความมียศก็มีอยู่ในโลก ความเสื่อมลาภก็มีอยู่ในโลก ความเสื่อมยศก็มีอยู่ในโลก ความเสื่อมสรรเสริญก็มีอยู่ในโลก ความนินทาก็มีอยู่ในโลก ความสุขก็มีอยู่ในโลก ความทุกข์ก็มีอยู่ในโลก
ทีนี้ผู้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนานี้ หวังลาภสักการะหรือหวังลาภหวังยศ หวังความสรรเสริญ หวังความสุขนั้น ยังไม่จัดเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์ ยังไม่พ้นโลก ผู้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา
เมื่อเป็นผู้ที่มุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหา อันเป็นตัวเหตุตัวปัจจัยให้เกิดทุกข์อยู่ร่ำไป ให้เกิดอยู่ในกามโลก รูปโลก อรูปโลก นี้จึงเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันเป็นที่ดับทุกข์
การที่จะพ้นไปเสียจากโลกทั้ง 3 คือ ทาน ศีล ภาวนานี้เท่านั้น
ฉะนั้นการบำเพ็ญท่าน ศีล ภาวนา ถ้าไม่มุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหาแล้ว มันก็ไม่พ้นไปเสียจากโลกได้
เมื่อไม่พ้นไปเสียจากโลกได้ ส่วนบุญที่เกิดจากการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา นั้นมีอยู่หรือไม่ ?
มีอยู่ ได้รับผลอยู่ ไม่ปฏิเสธว่าไม่ได้รับ ได้รับผลอยู่ แต่ได้ผลเพียงมนุษย์สุข สวรรค์สุขเท่านั้น ไม่พ้นไปจากทุกข์ เพราะเหตุไม่ได้เจตนาที่จะทำลายกิเลสตัณหานั้นให้สิ้นไปหมดไป จึงไม่พ้นทุกข์
สุขที่ได้รับจากการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนามีอยู่ มีมนุษย์สุข สวรรค์สุขเท่านั้น แต่ไม่พ้นไปจากทุกข์
ส่วนการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เพื่อมุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหาอย่างเดียวให้หมดไป ให้สิ้นไป ให้ดับไป ไม่มุ่งหวังอะไร สุขก็ได้ ทุกข์ก็พ้น ให้พากันมุ่งหน้ามุ่งตาที่จะทำลายกิเลสตัณหาให้ออกไปจากจิตใจของเราเท่านั้นให้หมดไปสิ้นไป จึงจะพ้นไปเสียจากโลก
ความเห็นชอบ เห็นสิ่งที่เป็นเหตุให้พ้นไปเสียจากโลกนี้ ท่านเห็นอย่างไร
คือ เห็นว่า ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์
อันทุกข์ทั้งหลาย ทุกข์ในกามโลก รูปโลก อรูปโลก ที่จะปรากฏขึ้น ก็เพราะเหตุแห่งตัณหา คือ ความอยาก
ฉะนั้นธรรมเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ท่านจึงเจาะจงบ่งชื่อตัณหาว่า ยายงฺตณฺหา ตัณหาคือความอยากนี้ เป็นเหตุให้เกิดกามภพ รูปภพ อรูปภพ ไม่มี มีแต่ตัณหาเท่านี้ ความยินดี ความกำหนัด ความเพลิดเพลินลุ่มหลง ฮึกเหิมตามความกำหนัด ความยินดี คือ ความใคร่ ความรัก ความปรารถนาในกามารมณ์ ความทะเยอทะยานอยากเป็นโน่นเป็นนี่ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็นในสิ่งที่|ตนไม่ชอบ ไม่พอใจ
ตัณหา คือ ความอยากเหล่านี้
เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่พ้นไปจากโลกได้ หรือไม่พ้นไปจากกามโลก รูปโลก อรูปโลกได้ เพราะเหตุแห่งตัณหา
ความทุกข์ทั้งหลายมี่จะดับไป ความเห็นว่า ต้องทำตัณหานี่แหละให้สิ้นไป ดังที่ท่านตรัสว่า ธรรมอันที่ดับทุกข์นั้น คือ ทำตัณหาความอยากนี่แหละให้สิ้นไป ดับตัณหาความอยากนี่แหละ โดยไม่เหลือนั้น ๆ เสียให้สิ้นไปจากใจของตน
พึงละ พึงสาง พึงสร้าง พึงปลดปล่อย ตัดขาดจากตัณหา คือ ความอยากนี้นี่แหละให้สิ้นไป ทุกข์จึงจะดับ เพราะเหตุแห่งตัณหา เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ถ้าผู้ต้องการจะพ้นไปจากทุกข์ พ้นไปจากโลก กามทุกข์ รูปทุกข์ อรูปทุกข์ ก็ต้องดับเสียซึ่งตัณหาให้หมดให้สิ้นไป เราจึงจะพ้นไปจากโลกได้ นี้ปัญญาสัมมาทิฏฐิ ปัญญา สังกับโป ท่านรู้ธรรมอันที่ดับทุกข์ ด้วยประการอย่างนี้
ย่นลงก็คือ ทาน ศีล ภาวนา หรือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้
การบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ถ้าไม่มุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหาให้หมดไป ให้สิ้นไปแล้ว ก็ไม่มีทางพ้นไปจากทุกข์ พ้นไปจากโลกนี้ได้ ถ้าเราบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา มุ่งหวังที่จะทำลายกิเลสตัณหาอย่างเดียวให้หมดให้สิ้นไป คือที่ว่าพ้นไปจากโลก
เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมอันที่ดับทุกข์โดยแท้ ไม่ต้องมีความสงสัยเลยดังนี้
เมื่ออายุ 14 ปี ท่านได้หนังสือสอนกรรมฐานของพระอาจารย์สิงห์ ขัตยาคโม จากพระธุดงค์รูปหนึ่ง ท่านได้ศึกษาและปฏิบัติตามจิต จนจิตได้เข้าถึงสมาธิ มีความสุขมาก มีเวลาว่างเมื่อไหร่ท่านมักนั่งสมาธิ
ต่อมา เมื่อท่านแตกเนื้อหนุ่มท่านได้เห็นหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งเดินเปลือยอกผ่านหน้าบ้านเพื่อเข้าไปถ่ายในป่าละเมาะทุกวัน จึงเกิดเห็นหน้าอกเขาสวย รู้สึกหญิงคนนั้นน่ารักไปหมดทั้งตัว แต่ด้วยอุปนิสัยทางธรรมทำให้เกิดอุบายข้นมา ท่านแอบไปตามดูอุจจาระของหญิงสาวนั้นและได้พิจารณาดูอุจจาระของหญิงสาวนั้นและสาวอื่น ๆ จนปลงตามกำหนัดได้เห็นว่า ร่างกายนี้ที่หลงกันว่าสวย แต่สภาพที่แท้จริงก็เป็นของโสโครก
จึงอุปสมบทและศึกษาข้อปฏิบัติกรรมฐานกับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านได้รับการพยากรณ์จากท่านพระอาจารย์มั่นว่า ท่านมีกาย วาจา ใจ สมควรที่จะบรรลุ
ท่านยังเป็นผู้ชอบปลีกวิเวกไปบำเพ็ญสมณธรรมตามป่าเขาเงื้อมถ้ำและพลายหิน ทั้งในภาคอีสานและภาคเหนือรวมถึงพม่า จึงได้สร้างวัดภูทอกและเคยร่วมธุดงค์พร้อมกับจำพรรษากับหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่วัดถ้ำกลองเพล
จิตของท่านมีความโลดโผนพิสดารอยู่มากและเป็นที่น่าเชื่อกันว่า ท่านทรงอภิญญาหกว่า ท่านเป็นผู้มีเมตตาธรรมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาวอำเภอบึงกาฬและผู้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับวัด จะได้รับการอบรมธรรมจากท่าน
ป่าดงพงพีหลายแห่งได้กลายเป็นไร่นาสาโท ยิ่งท่านได้นำชาวบ้านสร้างถนนหนทาง สะพาน สระน้ำ ฝาย อ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้น ไร่นาทาโสนั้นก็อุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้น