Life is not easy! ใคร ๆ ก็รู้ว่าการเติบโตนั้นไม่ง่ายเหมือนในนิยายฟีลกู๊ด การที่ต้องตื่นไปโรงเรียนแต่เช้ารีบออกจากบ้านไปเจอรถติด รถเมล์ก็มาแบบคาดเดาไม่ได้ อากาศก็มีแต่ฝุ่น PM2.5 ไหนจะเรียนเยอะ สอบเยอะ พ่อแม่ก็ไม่เข้าใจอีก การจัดการความเครียด การรู้จักที่จะผลักพลังลบออกไปจากชีวิตถือเป็นสกิลสำคัญที่ต้องฝึก เพื่อให้เรามีพลังไปทำสิ่งที่สำคัญ เป็นประโยชน์ ถือเป็นทักษะที่เป็นจำเป็นต่อการโตเป็นผู้ใหญ่    

ไม่พูดทุกอย่างที่คิด 

นักจิตวิทยา Trevor Moawad ผู้ที่ทำการบำบัดจิตใจให้กับนักกีฬาหรือผู้ที่ต้องการพัฒนาสมรรถภาพทางการกีฬาเป็นหลัก ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า ให้ระวังสิ่งที่เรา ‘คิด’ และ ‘พูด’ เพราะสองสิ่งนี้จะส่งผลต่ออารมณ์ของเราอย่างมีนัยสำคัญ หากเราคิดยังไงก็พูดออกมาเลยอย่างนั้น (verbalize) อารมณ์เราอาจจะบูดเป็น 10 เท่า โดยเฉพาะคำพูดแง่ลบ เช่น ‘ฉิบหายแล้ว’ ‘แย่แบบนี้ ทำอะไรไม่ได้แล้ว’ ‘ทำไมซวยแบบนี้’ เป็นต้น 

คำแนะนำ: เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผิดหวังหรือว่าเฟล อย่าพูดทุกอย่างที่คิด ให้คิดหลาย ๆ รอบก่อนที่จะพูดสิ่งที่คิดออกมา เก็บคำพูดที่ลบ ๆ เอาไว้ไม่ให้มันได้บั่นทอนเรา แนะนำว่าให้พูดสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริง ๆ แล้วเท่านั้น พูดตามเนื้อผ้าเพื่อที่เราจะได้ตระหนักและหาทางแก้ไขปัญหาต่อไป 

ฝึกคิดเชิงรุก ไม่ใช่เชิงรับ 

คนเราใช้ชีวิตอยู่ดี ๆ ในทุ่งลาเวนเดอร์ จู่ ๆ อุปสรรคก็ยื่นมือมาขอพิสูจน์ เป็นธรรมดาที่เราจะรู้สึกไม่เอาไหน แถมยังฟูมฟายให้กับความไร้ค่าของตัวเองอีกต่างหาก เพราะความคิดแง่ลบและความวิตกกังวลส่งผลให้เรารู้สึกเสียสูญ ทำให้คนเก่งรู้สึกไร้ความสามารถได้ หากไม่รู้จักจัดการให้ถูกวิธีก็จะทำให้เรามีปัญหาแม้แต่ในการทำงานง่าย ๆ ขี้หลง ขี้ลืม และทำให้เป็นโรค Alzheimer ก่อนวัยอันควรอีกด้วย       

คำแนะนำ: เมื่อเกิดสถานการณ์แห่งความผิดหวัง ไม่เป็นไปตามแผน อย่าโทษใคร อย่าคิดมาก เลิกคิดว่าทำไมถึงทำไม่ได้ แต่ให้เริ่มทำอะไรสักอย่างแทน (Proactive) โฟกัสในสิ่งที่ควบคุมได้ในตอนนี้ และสิ่งที่เราควรทำต่อไป

มองทุกอย่างแบบที่มันเป็น

ข่าวร้ายมาไวกว่าที่คิดเสมอ แม้จะเตรียมใจไว้ก่อนหรือไม่ ในเช้าวันที่แสนสดใส เราอาจจะพบความจริงที่ว่าเราสอบไม่ติดคณะที่หวัง หรือแฟนที่คบกันดันมาบอกเลิกเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าชอบเพศเดียวกัน ขนมหวานหน้าตาน่ากินชิมแล้วอาจจะขมปี๋ เรื่องราวในนิยายฟีลกู๊ดอาจจะสับขาหลอกจบแบบนิยายฆาตกรรมได้ ในโลกปัจจุบันทุกอย่างเป็นไปได้หมด ดังนั้นแทนที่จะสร้างเรื่อง Happy Ending ขึ้นมาเพื่อปลอบประโลมตัวเอง เราควรจะฝึกมองทุกอย่างอย่างที่มันเป็นโดยไม่ปรุงเเต่งบ้าง          

คำแนะนำ: ภาษาพระท่านว่ามองทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัยจะช่วยให้เราได้สติ ไม่คิดมาก มีสติรู้ทันอารมณ์ตัวเอง มองเห็นทางออกของปัญหา และอย่าลืมดื่มน้ำมาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ขอให้เป็นวันที่ดี แต่ถ้ามันไม่ดีก็ไม่เป็นไร ไม่มีใครมีวันที่ดีได้ทุกวัน นั่นคือความจริง

คบหาคนที่ให้พลังชีวิต

เดี๋ยวนี้เพื่อนหาง่าย แต่หาเพื่อนดี ๆ กลับยาก ในยุคที่แทบจะไม่มีใครหยิบยื่นมิตรแท้ให้กันอย่างหมดจดและการว่าร้ายดูจะเป็นทักษะที่ง่ายขึ้นเรื่อย ๆ (เพราะโซเชียลมีเดียตัวดี) ทฤษฎีคนประเภทเดียวกันมักจะถูกดึงดูดเข้าหากันจะได้รับการพิสูจน์อีกครั้งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ การมีคนไว้เม้าท์มอย เติมพลังให้กันก็หายากลงไปทุกที ดีไม่ดีอยากมี Relationship แต่ไป ๆ มา ๆ กลายเป็น Relationsh*t ซะงั้น ! 

คำแนะนำ: คนประเภทหนึ่งที่จะทำเราไม่เครียดและช่วยเติมพลังในวันลบ ๆ ได้ คนเหล่านั้นคือ Energizers คนที่ทำให้เรายิ้ม หัวเราะและดีต่อใจ ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนในห้องเท่านั้น อาจจะเป็นเพื่อนติ่ง พี่สาวชาวเน็ต หรือไอดอลเกาหลีที่เรารักที่ตามติ่งทีไรก็ทำให้ยิ้มได้ มีความสุข

พยายามเป็นคนมีความสุขง่าย ๆ

พยายามทำข้อตกลงกับตัวเองเอาไว้เลยว่า ในเมื่อโลกใบนี้มันสามารถเซอร์ไพรส์เราด้วยเรื่องผิดหวังชุดใหญ่เมื่อไหร่ก็ได้ ทางเดียวที่เราจะไม่ประสาทเสียไปซะก่อนก็คือการพยายามมีความสุขทุกครั้งเมื่อมีโอกาส อยากทำอะไรให้ทำ อยากกินอะไรให้กิน ในเมื่อความปรารถนาในเรื่องใหญ่ ๆ มันเสี่ยงที่จะไม่สำเร็จ เราก็น่าจะทำความปรารถนาเล็ก ๆ ง่าย ๆ ให้เป็นจริงให้ได้    

คำแนะนำ: การตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ที่สำเร็จได้ง่ายจะช่วยทำให้ระดับความภาคภูมิใจ (Self-Esteem) ของเราเพิ่มขึ้น บวกกับการเปิดใจให้กว้าง พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีก็จะช่วยให้เรามองเห็นสิ่งดี ๆ รอบข้างมากขึ้น

แหล่งข้อมูล  
How to Thrive When Everything Feels Terrible