หลายคนอาจคิดว่า แค่ล้างหน้าจะใช้อะไรก็เหมือนกันหมดเพราะล้างแค่แป๊บเดียวเอง แต่ความจริงคือเวลาที่เราล้างหน้า โฟมหรือเจลล้างหน้าที่ใช้จะซึมลึกลงไปที่ชั้นบนสุดของผิวชั้นขี้ไคล ซึ่งเป็นชั้นผิวที่มีหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิว และยังสามารถเลือกให้สารที่ดีต่อผิวผ่านไปได้ และปิดกั้นไม่ให้สิ่งที่ไม่ต้องการผ่านเข้าไปด้วย ดังนั้นอย่ามองข้ามผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวเชียว ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ดีและอ่อนโยนต่อผิว
การล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจะชะล้างน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวของเราออกไปด้วย น้ำมันหล่อเลี้ยงผิวคือกำแพงชั้นแรกสุดที่ทำหน้าที่ปกป้องผิวของเรา หากไม่มีน้ำมันหล่อเลี้ยงผิว น้ำมันระหว่างเซลล์ที่ทำหน้าที่ปกป้องผิวก็จะถูกชะล้างออกไปง่ายขึ้น เราจึงควรล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิธรรมดาเพราะดีต่อผิวที่สุด
คนส่วนใหญ่มักอาบน้ำด้วยการใช้ฝักบัว ซึ่งรวมถึงใช้น้ำจากฝักบัวล้างหน้าด้วย แต่น้ำจากฝักบัวมักจะมีระดับความแรงมากพอที่จะชะล้างน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวออกไปด้วย เราจึงควรล้างหน้าหลังอาบน้ำเสร็จ ใครที่ผิวมันแนะนำให้กวักน้ำล้างหน้า ส่วนคนผิวแห้งแนะนำให้รองน้ำไว้ในอุ้งมือแล้วค่อย ๆ ยกมือให้น้ำสัมผัสกับผิวหน้าและล้างเบา ๆ 3-4 ครั้งในแต่ละตำแหน่งบนใบหน้า การล้างหน้าด้วยวิธีแบบนี้จะดีต่อผิวมากกว่า
ใครที่อยากกำจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ใต้ผิว นี่คือเทคนิคดี ๆ จากแพทย์ผิวหนังญี่ปุ่น ให้ใช้ตาข่ายดีฟองสำหรับล้างหน้ากับผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มี แล้วใช้ฟองที่ตีได้ลูบไล้บนใบหน้า โดยให้ฟองอยู่ระหว่างผิวหน้ากับมือแล้วตบเบา ๆ โดยที่มือไม่ต้องเคลื่อนที่ ตบฟองประมาณ 30 วินาทีในจุดที่รู้สึกว่ามีสิ่งอุดตันเยอะ อย่างบริเวณจมูกหรือคาง ส่วนวิธีล้างหน้าด้วยการใช้มือถูไปถูมาจะทำให้ฟองไหลไปเรื่อยและไม่สามารถซึมลึกเข้าไปถึงรูขุมขนได้
ชั้นขี้ไคลของผิวหน้าจะมีความบางเท่าแผ่นฟิล์มห่ออาหาร (หนาประมาณ 0.02 มิลลิเมตร) แต่ชั้นขี้ไคลบริเวณรอบดวงตานั้นบางมาก คือหนาประมาณเยื่อของไข่ต้ม ! ที่มันหนาแค่นั้นเพราะบริเวณนี้มีต่อมไขมันและต่อมเหงื่อน้อยกว่าบริเวณอื่น ผิวรอบดวงตาจึงบอบบางที่สุด เวลาที่เราล้างหน้าแล้วใช้มือถูไปมารอบดวงตาแรง ๆ จะส่งผลให้น้ำมันหล่อเลี้ยงผิวหายไป และต้องใช้เวลาถึง 48 ชั่วโมงเลยทีเดียวถึงจะมีน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวกลับคืนมา ถ้าอยากให้ผิวรอบดวงตาดูสดใสไม่แห้งตึง แนะนำให้ล้างบริเวณนี้อย่างเบามือที่สุด
คนเรามักจะล้างหน้าย้ำ ๆ ในบริเวณที่ฝ่ามือทาบพอดี ซึ่งมักจะเป็นตำแหน่งยูโซนคือบริเวณดวงตากับแก้ม เวลาล้างหน้าเราเลยมักเริ่มจากบริเวณที่ฝ่ามือประกบใบหน้าพอดีก่อน และจะชอบล้างซ้ำ ๆ ตรงนั้นซ้ำแล้วซ้ำอึก อยากให้ลองเปลี่ยนมาล้างหน้าด้วยการเริ่มล้างจากตรงทีโซนก่อน เพราะเป็นจุดที่ผิวมีความมันมากที่สุดและเสี่ยงที่จะเกิดสิวได้ง่ายด้วย
การสครับผิวหน้าบ่อยเกินไปจะส่งผลให้ความสามารถในการปกป้องผิวน้อยลง เราจำเป็นต้องมีขี้ไคลบนผิวหน้าไว้บ้างเพราะมันทำหน้าที่ปกป้องผิวจากสิ่งกระตุ้นภายนอก เช่น รังสีอัลตราไวโอเลต เป็นต้น และการล้างทำความสะอาดหน้าในแต่ละวันก็ทำให้ขี้ไคลหลุดออกมาตามธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าอยากจะดูแลผิวเป็นพิเศษแนะนำให้สครับผิวหน้าแค่เดือนละครั้งก็เพียงพอแล้ว และไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่มีเม็ดสครับล้างหน้าทุกวันด้วย
การปล่อยให้ใบหน้าเปียกโชกหลังล้างหน้าจะยิ่งทำให้ผิวแห้งมากกว่าเดิม หลังล้างหน้าเสร็จแล้วให้เช็ดหน้าให้แห้ง แล้วใช้โทนเนอร์หรือทาครีมที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
โทนเนอร์เปรียบเหมือนใบเบิกทางสู่ความชุ่มชื้นของผิว แนะนำให้เลือกใช้โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) นอกจากจะช่วยเติมน้ำให้ผิวแล้ว ยังช่วยเปิดผิวให้ครีมที่จะทาต่อสามารถซึมลงผิวได้ดีขึ้นด้วย เทคนิคคือพอทาโทนเนอร์และรู้สึกว่ามันซึมลงผิวแล้ว ให้รีบทาสกินแคร์ตัวต่อไปเลยเพราะครีมจะสามารถซึมเข้าผิวได้ดีกว่า โดยไม่จำเป็นต้องรอ 3 นาทีจ้า
ใครที่รู้ตัวว่าผิวหน้าเป็นผดผื่นง่าย หรือมีผิวที่บอบบางแพ้ง่าย แนะนำให้ใช้มือลูบไล้โทนเนอร์ให้ทั่วใบหน้าอย่างเบามือจะดีต่อผิวมากกว่า เพราะการใช้สำลีอาจทำให้เกิดอาการแพ้จากเส้นใยของสำลี หรือเกิดการระคายเคืองผิวตอนที่เช็ดหน้าได้
บทความที่เกี่ยวข้อง
8 ครีมกันแดดที่ดีที่สุดสำหรับคนเป็นสิว ใช้แล้วสิวไม่เห่อ หน้าไม่วอก !
ชี้เป้า 6 แผ่นแปะสิวเกาหลี ที่ช่วยดูดสิวให้หมดได้ในข้ามคืน
วิธีลดอาการบวมแดงของสิวอักเสบให้ดีขึ้นภายใน 24 ชม.
กินอะไร นอนกี่โมง เพื่อให้ผิวสวยสุขภาพดี มีออร่าแบบสาวเกาหลี
แหล่งข้อมูล
มายะ ฟูจิตะ. (2554). เคล็ดลับผิวใสสไตล์ญี่ปุ่น. แปลจาก Skin Care no Sobokuna Gimon "Zubatto" Kaiketsu. แปลโดยเสาวนีย์ ภัทรากาญจน์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เพื่อนนักอ่าน