แรกเริ่มเดิมที วัตถุประสงค์ของคุณอุดม คือการบุกเบิกถนนสายใหม่ให้เป็นย่านธุรกิจที่ทันสมัย เขาได้ชักชวนเพื่อนชาวต่างชาติ ให้มาลงทุนตั้งกิจการอาคารพาณิชย์ ทำให้เส้นพัฒน์พงศ์คราครั่งไปด้วยบริษัทต่างชาติ (ที่ชื่อคุ้นหู) อย่าง Shell, Caltex, IBM สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ รวมไปถึงสายการบินและร้านอาหารต่างชาติและธุรกิจบันเทิงอีกมากมาย จนเรียกได้ว่า ถ้าคุณอยากจะมาคุยธุรกิจหรือซื้อตั๋วเที่ยวต่างประเทศสักใบ ก็ต้องมาที่พัฒน์พงศ์แห่งนี้
แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า อาคารหลังสีส้มแห่งหนึ่งในถนนพัฒน์พงศ์จะเป็นที่ทำการลับของ CIA (Central Intelligence Agency) หน่วยข่าวกรองเพื่อความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในขณะนั้นมีการต่อสู้กันของสองฝั่งแนวคิดทางการเมืองอย่างคอมมิวนิสต์และเสรีนิยม และสมรภูมิที่ไม่ใกล้ไม่ไกลบ้านเรา คือ เวียดนามนั่นเอง ณ ช่วงเวลานั้น CIA ได้เปิดบริษัทด้านการขนส่งที่ชื่อ Civil Air Transport บังหน้าเพื่อทำภารกิจ จึงอาจไม่มีใครจะเอะใจเลยว่าชาวต่างชาติที่เดินเตร็ดเตร่อยู่บนถนนแห่งความบันเทิงแห่งนี้ อาจเป็นสายลับ เป็นทหารนอกเครื่องแบบ หรือเป็นตำนานนักฆ่า อย่าง Tony Poe อดีตทหารดาวเด่นของพัฒน์พงศ์ ที่เรื่องราวของเขาถูกเล่าขานไว้มากมาย ณ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้
มิวเซียมเล่าเรื่องส่วนนี้ผ่านของสะสมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทำงานของ CIA เรื่องราวการเข้าร่วมฝึก OSS (ต่อมาคือหน่วย CIA) ของคุณอุดม พัฒน์พงศ์พานิช รวมถึงป้ายห้างร้านและสื่อ propaganda ต่าง ๆ ที่สะท้อนถึงความต่างของขั้วอำนาจการเมืองทั้งสองฝั่งที่สะท้อนชุดความคิดในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
วันเวลาผ่านไป เมื่อสงครามสิ้นสุดลง พัฒน์พงศ์ยังคงสว่างไสว ด้วยธุรกิจบันเทิงที่คับคั่ง บริษัทต่างชาติประเภทอื่น ๆ แม้จะเริ่มทยอยย้ายออกหรือปิดตัว แต่กลับมีธุรกิจสายบันเทิงผุดขึ้นแทนที่อย่างทวีคูณทั้งร้านอาหาร บาร์ Night Club รวมทั้งธุรกิจบริการทางเพศ ชื่อเสียงของถนนพัฒน์พงศ์ เริ่มกลายเป็นถนนสายบาปของเมืองไทยไปโดยปริยาย นักท่องเที่ยวมากมายหลั่งไหลเข้ามาเสพความบันเทิงสุดวาบหวามจนชื่อเสียงโด่งดังไกล เห็นได้จากสื่อต่าง ๆ ที่ทางพิพิธภัณฑ์รวบรวมจัดแสดงไว้ให้ชม ทั้งการเดินทางมาถ่ายทำ Music Video เพลง Ricochet ของ David Bowie และนักแสดงฮอลลีวูดมากหน้าหลายตาที่ผู้ชมสามารถส่องผ่าน notepad ว่าคนดังคนไหนที่เคยมาเยือนพัฒน์พงศ์แห่งนี้แล้วบ้าง
ในช่วงปี 2512 การจะเปิดสถานบันเทิงในประเทศไทยจะต้องทำเรื่องขอใบอนุญาตสองประเภทด้วยกัน คือใบอนุญาตสถานบันเทิง และใบอนุญาตเต้นรำ (ซึ่งหมายถึงการเต้นรำในรูปแบบที่มีคู่เต้นเท่านั้น) จุดเริ่มต้นของอะโกโก้เกิดจากบาร์ของอดีตทหารอเมริกันนามว่า Rick Menard ผู้ซึ่งผุดไอเดียให้สาว ๆ ในชุดวาบหวิวขึ้นเต้นโชว์เดี่ยวสร้างความบันเทิงให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ เมื่อเรื่องรู้ถึงหูผู้รักษากฎหมาย จึงเกิดการทวงถามถึงใบอนุญาตเต้นรำขึ้น Rick จึงตอบไปว่า สาว ๆ เหล่านั้นเธอเพียงแค่สนุกและเต้นไปตามเสียงเพลง และไม่ได้มีคู่เต้นเสียหน่อย นั่นล่ะ หลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเต้นแบบ Go Go Dancing แห่งแรกในเมืองไทย
ถ้าผู้ชมอยากย้อนเวลาเพื่อไปสัมผัสถึงบรรยากาศ ก็ลองเข้าไปนั่งในบาร์ 18+ ที่ทางพิพิธภัณฑ์ได้จำลองไว้ได้ ในบาร์ตกแต่งสไตล์ให้เหมือนย้อนเวลา พร้อมเสิร์ฟด้วยเครื่องดื่มให้คุณเลือกสรร ดื่มด่ำเคล้าเสียงเพลง ไฮไลท์ในห้องนี้น่าจะเป็นจอ LED ทีฉายภาพการเต้นสุดเซ็กซี่ของสาว ๆ ให้คุณได้เปิดประสบการณ์ใหม่อย่างเพลิดเพลิน
บนถนนสายบันเทิงอย่างพัฒน์พังศ์ เมนูที่พนักงานจะยื่นให้คุณสั่งอาจไม่ใช่เพียงอาหารหรือเครื่องดื่มเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเมนูโชว์สุดสยิว ที่เรียกว่า "Sex Show" จากสาวสุดเซ็กซี่ให้คุณเลือกได้ตามชอบใจ ตัวอย่างโชว์ที่โด่งดัง ก็มีทั้ง Pussy Ping pong, Pussy Fish in หรือ Pussy Open the Bottle โดยในพิพิธภัณฑ์จะมีไฮไลท์เป็นเครื่องเป่าลูกปิงปองอัตโนมัติให้ผู้ชมได้ลองฝึกรับลูกปิงปอง รวมทั้งจัดแสดง เสา dancing pole ที่ท้าทายให้ผู้ชมลองเข้าไปโหนดูสักครั้ง และ sex toy หลากหลายรูปแบบ ทั้งภาพถ่ายและวิดีโอของโชว์สุดสยิวที่คุณอาจไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ภาพโดย: I am Fonn
เรื่องโดย: Witchy Fah