>> มักจะเกี่ยวข้องกับการต้องทำในเรื่องส่วนบุคคล (Personal obligation)
>> ผู้พูดมักใช้คำนี้ เพื่อบอกถึงความคิดส่วนตัวว่าต้องทำหรือไม่ต้องทำอะไรบางอย่าง
>> ใช้เน้นถึงความจำเป็นว่าต้องมีสิ่งนั้น (ในเรื่องความเป็นจริงทั่วไป)
>> ในบางกรณีก็ใช้ Must และ Have to แทนกันได้โดยที่ไม่ได้แปลกมากนัก แต่ Must จะมาพร้อมกับความต้องทำ ที่มีระดับมากกว่า Have to
>> เมื่อมีการใช้ Mustn’t (Must not) นั้นจะหมายถึงการห้ามทำสิ่งนั้นอย่างเด็ดขาด
Ex. I must reach the office on time.
(ฉันต้องไปถึงออฟฟิศตรงเวลา) *เป็นเรื่องส่วนตัวที่เรามีข้อกำหนดกับตัวเองว่าต้องทำ
Ex. You must learn how to drive; it will be very important in the future.
(คุณต้องไปเรียนขับรถแล้ว มันจะสำคัญมากในอนาคต) *เป็นความคิดเห็นของผู้พูด
Ex. Plant must have light and water to grow.
(พืชต้องมีแสงและน้ำสำหรับการเจริญเติบโต)
Ex. You mustn’t use your phone while driving.
(คุณต้องห้ามใช้โทรศัพท์ระหว่างขับรถ)
>> มักจะเกี่ยวข้องกับการต้องทำที่ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล (External obligation)
>> ผู้พูดมักใช้คำนี้ เพื่อบอกถึงว่าอีกฝ่าย ต้องทำอะไรหรือไม่ต้องทำอะไร
>> มักใช้คำนี้เวลาที่ถูกกำหนดโดยบทกฏหมาย หรือ ข้อบังคับ ว่าจะต้องมีการกระทำ หรือไม่กระทำสิ่งนั้นสิ่งนี้
>> โดยมากมักเป็นความจริงที่ต้องกระทำ และไม่ใช่ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้พูด
Ex. We have to wear office uniform every Friday.
(พวกเราต้องใส่ชุดเครื่องแบบบริษัททุกวันศุกร์) *การต้องใส่นี้เกิดจากกฏของบริษัท และไม่ได้เป็นความเห็นส่วนตัวของใคร
Ex. We have to drive slower than 80 KM/hour.
(พวกเราต้องขับรถช้ากว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) *โดยอ้างอิงถึงกฏหมาย
Ex. You have to wait for half an hour.
(คุณต้องรออีกครึ่งชั่วโมงค่ะ) *เราอาจจะไปถึงก่อนเวลา แล้วประชาสัมพันธ์บอกว่าเราต้องรอ – ไม่ใช่ความเห็นของเราเอง
ในรูปประโยคคำถาม มักจะใช้ Have to มากกว่า Must เช่น
When do you have to start your project? ใช้คำว่า Have to
When do you must start your project? ประโยคนี้จะไม่นิยมใช้
สำหรับประโยคในอดีตจะใช้ Had to เสมอ เพราะเป็นรูปอดีตซึ่งแสดงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะถ้าใช้ Must จะไม่ได้บ่งบอกว่า เกิดขึ้นในปัจจุบันหรือ อดีต เช่น
I had to report the project status to my boss yesterday. ใช้คำว่า Had to
I must report the project status to my boss yesterday. ถ้าไม่มีคำว่า yesterday ในประโยคนี้ เราจะไม่มีทางรู้เลยว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่