ตอนเป็นวัยรุ่นเราก็ไม่รู้หรอกว่า ‘Body Positive’ มันคืออะไร เราก็แค่อยากจะขาว อยากจะหน้าใสไร้สิว อยากมีต้นขาเรียวเล็กจะได้ใส่กางเกงแล้วดูดีเหมือนดาราในทีวี แต่รูปร่างของเรากลับไม่สามารถที่จะเป็นได้อย่างที่ใจหวัง ทุกครั้งที่ส่องกระจกก็จะได้แต่เฟล เซ็งเป็ดว่าทำไมเราถึงไม่ดูดีแบบนั้นบ้าง นานวันเข้าเราก็เริ่มไม่ชอบร่างกายตัวเอง และเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองเท่าที่ควร 

“Body Positive คือ แนวคิดที่ว่าการที่เราอยากสวย อยากหล่อดูดีนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ
แต่ขอให้เรามีความสุขกับการดูแลตัวเองในแบบที่ช่วยให้เราเกิดความรักตัวเอง
ยอมรับตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่ใช่มาจากความรู้สึกที่ว่าตัวเองน่าเกลียด
หรือรู้สึกว่าตัวเองไม่ดูดีเหมือนคนอื่น“ 

เพราะนี่มันยุค 2020 แล้ว ยุคที่เรามีนางแบบผิวด่างขาวโลดแล่นบน catwalk ยุคที่ได้นางงามจักรวาลเป็นคนผิวสี ยุคที่มีแบรนด์ดัง ๆ มากมายออกไลน์เสื้อผ้าพลัสไซส์ และเป็นยุคที่เราต้องเลิกเดินตาม Beauty Standards มาตรฐานความสวยของสังคมและสร้างมาตรฐานความสวยของเราขึ้นมาเอง ด้วยแนวคิด Body Positive! 

เมื่อต้องการที่จะเพิ่มความรู้สึกดี หรือรักตัวเองมากขึ้น สิ่งที่เราจะต้องถามและตอบตัวเองให้ได้เพื่อที่จะแก้ไขให้ตรงจุด มีดังนี้

• เคยกังวลเกี่ยวกับบุคลิกภาพของตัวเองไหม

• คิดว่าตัวเองเป็นพวกเพอร์เฟคชั่นนิสต์หรือเปล่า

• ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นหรือเปล่า

• ชอบตัดสินคนอื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกหรือไม่

• คนรอบตัวชอบพูดถึงรูปร่างของเราว่ายังไงบ้าง

การที่เราจะมีความรู้สึกดีต่อตัวเองมากขึ้นต้องเริ่มจากความรู้สึกที่เรามีต่อตัวเองก่อน โดยจะต้องมีความภูมิใจในตัวเอง มีทัศนคติเชิงบวก มีความเสถียรทางอารมณ์หรือควบคุมอารมณ์ได้เมื่อใครมาพูดแย่ ๆ เกี่ยวกับรูปร่างของเรา  

มีความภูมิใจในตัวเอง (Self-esteem) 

เกิดจากการที่เรามองเห็นว่าคนทุกคน ทุกบุคลิกนั้นสวยงามแตกต่างกัน และพยายามที่จะมองเห็นสิ่งที่ดีของคนอื่นมากกว่าสิ่งที่ไม่ดี และถ้าหากเรายังไม่รู้สึกดีกับตัวเองให้เราเริ่มชมคนอื่นบ่อย ๆ เพื่อเป็นการฝึกให้ตัวเองมองเห็นสิ่งที่ดีในตัวคนอื่นไม่ว่าเขาจะเป็นยังไง แล้วเราก็จะเริ่มยอมรับและมองเห็นสิ่งที่ดีในตัวเองได้ 

มีทัศนคติเชิงบวก (Positive Attitude)

ซึ่งจะเกิดจากการยอมรับจุดแข็งและข้อจำกัดด้านร่างกายของตัวเองให้ได้ก่อน เช่น เราเป็นคนโครงใหญ่เพราะกรรมพันธุ์ เป็นคนผิวสีเข้มมาตั้งแต่เกิด เป็นต้น ให้พยายามหลีกเลี่ยงความคิดที่จะทำให้เกิดความคิดแง่ลบ เช่น ชอบเปรียบเทียบ ชอบตัดสินคนอื่นและคิดว่าตัวเองต้องเหนือกว่าคนอื่น เพราะนอกจากความคิดแบบนั้นจะทำให้มีแนวโน้มเป็นโรค Anorexia (อะนอเร็กเซีย) หรือโรคคลั่งผอมแล้ว ยังทำให้การรักตัวเองจริง ๆ เป็นไปได้ยาก หากยังมองคนอื่นในแง่ลบอยู่
 

รวมถึงควรเลิกคิดว่าคนนั้นต้องเป็นแบบนี้ คนนี้ต้องเป็นแบบนั้น เช่น เลิกเหมารวมว่าคนอ้วนเป็นคนกินเยอะ คนอ้วนสุขภาพไม่ดี อ้วนคือไม่สวย คนเป็นสิวคือคนที่ไม่ดูแลตัวเอง หรือผู้หญิงต้องขาวเท่านั้น ผู้ชายจะต้องมีกล้ามเป็นมัด ๆ เลิกเหมารวมคนอื่นว่าต้องเป็นแบบไหนจากเพศ เชื้อชาติ และสีผิว เพราะถ้าหากเรายังเหมารวมคนอื่นอยู่แบบนี้ เราก็จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้าสิ่งที่คนอื่นบอกว่าสวย บอกว่าดีเท่านั้น ไม่ได้อยากเปลี่ยนแปลงเพื่อตัวเองจริง ๆ 

มีความเสถียรทางอารมณ์ (Emotional Stability) 

เมื่อเจอคอมเมนต์ในแง่ลบที่คนอื่นมีต่อเรา เช่น แม่บ่นว่าเราอ้วน เพื่อนล้อว่าเราหน้าสิว หรือป้าข้างบ้านติว่าเราว่าตัวใหญ่ เป็นต้น เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เราต้องมีความสามารถที่จะแยกแยะได้ว่า เขาติเรานะ แต่เราอย่าเอาคำติพวกนั้นมาทำให้ใจเป็นทุกข์ เมื่อเราคิดแยกแยะได้ ไม่เอาใจไปใส่ ควบคุมอารมณ์ได้ เราก็จะไม่เสียใจไปกับคอมเมนต์ในแง่ลบ เพราะสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับเราไม่สำคัญเท่าสิ่งที่เราคิดเกี่ยวกับตัวเราเอง

 

 

ติดตามคนที่มี Body Positive

คือคนที่มีความคิดเชิงบวกเกี่ยวกับรูปร่าง เช่น ซิลวี่ เดอะสตาร์, บล็อกเกอร์สาว HappyNancy, ติช่า The Face, ซูซี่-ณัฐวดี ไวกาโล หรือแม่สิตางศุ์ บัวทอง เป็นต้น การรักตัวเองไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ภายในวันสองวัน มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานไม่สิ้นสุด ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าเราสอบผ่านแล้ว บางวันเรารักตัวเอง แต่บางวันเราก็อาจจะรักไม่ลง การติดตามคนที่มี Body Positive ก็จะทำให้เรามีแรงบันดาลใจให้กลับมารักตัวเองได้อีกครั้ง 

 

การที่จะเรามี Body Positive ได้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนความคิดอย่างเดียว แต่เป็นการลงมือทำวันละนิดด้วย เริ่มจากการเลี่ยงที่จะเอาคำชมของคนอื่นมาเป็นทางที่จะทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง แต่เราต้องพูดชมตัวเองให้เป็น และที่สำคัญเลยคือการเอาตัวเองออกไปอยู่ในที่ที่มีคนให้ความสำคัญกับ Body Positive ให้ได้มากที่สุด 

 

 

แหล่งข้อมูล
3 Positive Body Image Activities & Worksheets