ใช้เชื่อมสองประโยคเข้าด้วยกัน โดยที่ ประโยค A จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ ต้องทำ B ก่อน ในที่นี้ ความหมายจะเหมือนกับ if โดยที่เราสามารถใช้ if แทนที่ as long as ได้
Ex. You can borrow my cardigan as long as you give it back tomorrow.
(เธอสามารถยืมเสื้อคลุมของฉันได้นะ ถ้าเธอจะเอามาคืนพรุ่งนี้)
You can borrow my cardigan คือประโยค A จะเกิดขึ้นได้ you give it back tomorrow.
Ex. I will go with you as long as you let me join.
(ฉันจะไปกับเธอถ้าเธอให้ฉันไปด้วย)
Ex. You will pass the test if as long as you study hard.
(เธอจะสอบผ่านถ้าเธอขยันเรียน)
มีวิธีการใช้ได้สองแบบคือ ใช้กับประโยคบอกเล่าธรรมดา และ ใช้กับประโยคปฏิเสธ
ประโยคบอกเล่าธรรมดา จะแปลได้ว่า “Except if/Except when” หรือ นอกเหนือจาก..โดยที่ ประโยค Aเกิดขึ้นตามปกติอยู่แล้ว แต่นอกเหนือจากว่าถ้า B เกิดขึ้น A ก็จะไม่เกิดตามปกติ
Ex. We will be late unless we leave now.
(พวกเราจะสายกันนะ นอกเหนือจากว่าเรารีบออกตอนนี้ (ก็จะไม่สาย))
Ex. I’ll walk to the office unless it rains.
(ฉันจะเดินไปออฟฟิศนอกเหนือจากว่าถ้ามันฝนตก(ก็จะไม่เดิน))
Ex. Your health will be damaged unless you stop smoking.
(สุขภาพเธอจะเสียหมดนอกเหนือจากว่าเธอหยุดสูบบุหรี่ (สุขภาพก็จะไม่เสีย))
ประโยคปฏิเสธ จะแปลได้ว่า “Only if” หรือ เว้นแต่ว่าโดยที่ เราจะไม่ทำประโยค A ถ้าไม่เกิด B มาก่อน
Ex. I won’t go for this trip unless it is free.
(ฉันไปได้ทริปนี้ด้วยหรอกนะ เว้นแต่ว่ามันฟรี)
หรือ ยังสามารถสลับที่ประโยคได้ด้วย Unless it is free, I won’t go for this trip. เป็นการเน้นการไม่ต้องจ่ายตังค์มาก่อน ว่า ถ้ามันไม่มีฟรี ฉันไม่ไปหรอกนะ
Ex. She won’t be happy unless you apologize.
(เธอจะไม่มีความสุขหรอกนะ เว้นแต่ว่าคุณจะขอโทษก่อน)
Ex. You’ll not succeed in your career unless you work hard.
(เธอจะไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เว้นแต่ว่าเธอจะทำงานหนัก)