Social Distancing หมายถึง ระยะห่างทางสังคม ที่กำหนดให้คนคนหนึ่งควรอยู่ห่างจากอีกคนหนึ่งเท่าไหร่ ในตอนนี้ที่ไวรัสโควิด-19 แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วส่วนหนึ่งมาจากการเข้าใกล้กันมากเกินทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายได้ง่ายและรวดเร็ว เช่น เม้าท์กันแบบใกล้ชิดในระยะหายใจรดต้นคอ เป็นต้น การอยู่ใกล้กันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น การรักษาระยะห่างจึงมีความสำคัญมากในการลดการแพร่ระบาดของโรคนี้
กรมอนามัยได้แนะนำให้ อยู่ห่าง ๆ กัน 2 เมตร หรือประมาณ 5 ก้าว เมื่อต้องออกไปข้างนอก ต่อแถวซื้อของ หรือเดินในที่สาธารณะ โดยต้องพยายามเอาตัวเองให้ห่างจากคนอื่นให้ได้ 2 เมตรขึ้นไป นับง่าย ๆ ประมาณ 5 - 6 ก้าว เพราะละอองฝอยจากการไอจามจากคนที่มีเชื้อจะกระจายได้ในระยะ 1 เมตรเท่านั้น ทุกคนจึงควรอยู่ห่างกันให้ได้ในระยะ 2 เมตร เพราะเมื่อทำได้ เชื้อไวรัสที่ควรจะแพร่มาที่เรา มันก็จะตกลงสู่พื้นแล้วตายไปในที่สุด
มาดูกันว่า ถ้าเรา #ห่างกันสักพัก ผลจะออกมาเป็นยังไง สำหรับใครที่ยังนึกภาพไม่ออกว่าถ้าเราเริ่มอยู่ห่าง ๆ กันให้ได้มากที่สุด มากกว่า 2 เมตร หรือประมาณ 5 - 6 ก้าวอย่างจริงจัง มันจะแตกต่างกับการไม่อยู่ห่างกัน หรือใช้ชีวิตปกติมากน้อยแค่ไหน
สีชมพู: คนที่เป็นและรักษาหายแล้ว
สีฟ้า: คนไม่มีเชื้อ ปกติดี
สีน้ำตาล: คนมีเชื้อ คนป่วย
จะเห็นได้ว่าทุกคนติดเชื้อ ไม่หลงเหลือคนสุขภาพดีเลย เพราะการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
สีชมพู: คนที่เป็นและรักษาหายแล้ว
สีฟ้า: คนไม่มีเชื้อ ปกติดี
สีน้ำตาล: คนมีเชื้อ คนป่วย
แพร่กระจายได้เร็วมาก แถมยังมีคนป่วยหลงเหลืออยู่อีก กรณีนี้ขนาดคนป่วยที่หายแล้ว ยังสามารถกลับมาเป็นอีกได้ เพราะยังมีจุดสีน้ำตาลหรือคนที่ป่วยอยู่เยอะมาก ๆ
สีชมพู: คนที่เป็นและรักษาหายแล้ว
สีฟ้า: คนไม่มีเชื้อ ปกติดี
สีน้ำตาล: คนมีเชื้อ คนป่วย
เมื่อลองใช้วิธีเว้นระยะห่างกับบางคนปรากฏว่า มีคนปกติที่ไม่ติดเชื้อเลยหลงเหลืออยู่บ้าง !
สีชมพู: คนที่เป็นและรักษาหายแล้ว
สีฟ้า: คนไม่มีเชื้อ ปกติดี
สีน้ำตาล: คนมีเชื้อ คนป่วย
เมื่อลองใช้วิธีให้ทุกคนเว้นระยะห่างระหว่างกันอย่างจริงจังผลปรากฏว่า มีคนปกติที่ไม่ติดเชื้อหลงเหลืออยู่มาก วิธีนี้ช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แหล่งข้อมูล
Why outbreaks like coronavirus spread exponentially, and how to “flatten the curve”
กรมควบคุมโรค
กรมอนามัย