สำนวนนี้ไม่ได้แปลว่า เวลาบินหนีไปไหนนะคะ แต่หมายถึง วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว เช่น เมื่อเรากลับมาดูรูปตอนเด็ก ๆ หรือ รูปเล่นสนุก ๆ ตอนรวมแก็งค์กับเพื่อนสมัยเรียน ก็จะรู้สึกว่า เวลาผ่านไปเร็วมาก หรือ เด็กผู้ชายที่เราเคยเห็นตัวเล็ก ๆ วิ่งเล่นซนไปวัน ๆ หลายปีผ่านไปมาเจออีกที เด็กคนนั้นกลายเป็นหนุ่มน้อยหล่อเหลาเอาการไปซะอย่างนั้น ก็อาจนึกในใจว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน
Ex. Look how fast our children grew up, how time flies.
(ดูสิ เด็ก ๆ โตกันขนาดนี้แล้วเวลาช่างผ่านไปเร็วจริง ๆ)
เวลาและวารีไม่เคยรอใคร สำนวนนี้บอกถึงความสำคัญว่า เวลาและสายน้ำไหลผ่านแล้วผ่านเลย ไม่มีย้อนกลับหรือหยุดไว้ได้ ดังนั้น หากคิดจะทำอะไรหรือมีงานการใดก็ให้เร่งทำให้เสร็จ หากมัวชักช้าก็อาจมีผลเสียตามมาได้
Ex. It is a true saying that time and tide wait for no man.
(เป็นสัจธรรมที่ว่าเวลาและวารีไม่เคยรอใคร)
สำนวนนี้ หมายถึง เวลาจะเยียวยาทุกสิ่งให้ดีขึ้น เรื่องที่เจ็บปวดบางเรื่องไม่สามารถแก้ไขได้ ต้องปล่อยให้เวลาผ่านไป ความรู้สึกแย่ ๆ ก็สามารถกลับฟื้นคืนมาดีได้เอง ซึ่งจะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน บางเหตุการณ์ที่เราว่าแย่เหลือเกิน หันกลับมามองอีกทีก็เป็นว่า มันก็ไม่ได้แย่นัก หรืออย่างน้อยก็ทำให้เราได้บทเรียนบางอย่าง
Ex. I was sad for years after my dad died, but now I am a bit better. Time heals all wounds.
(ฉันโศกเศร้ากับการที่พ่อตายจากไปอยู่ปี ๆ แต่ตอนนี้ ฉันทำใจได้แล้ว เวลามันช่วยเยียวยาจิตใจ)
สำนวนนี้ แปลตรงตัวว่า มีเวลาและสถานที่สำหรับทุกอย่าง แปลไทยเป็นไทยอีกทีก็คือ การรู้จักกาละเทศะนั่นเองค่ะ รู้จักความเหมาะสมว่าเวลาใดควรทำอย่างไร หรือในสถานที่ใดควรทำตัวอย่างไร เช่น เวลาไปร่วมไปงานศพ ก็ไม่ควรแต่งกายสีอื่นนอกจากสีดำเป็นหลัก หรือการวิ่งเล่นหรือส่งเสียงดังในศานสถานก็เป็นเรื่องไม่สมควรทำ
Ex. There is a time and place for everything, but this is not the time or place to discuss it.
(รู้จักกาละเทศะหน่อย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาและไม่ใช่ที่จะพูดเรื่องนี้)
สำนวนนี้เปรียบเปรยว่า เวลาเปรียบเสมือนเป็นเงินเป็นทอง คือ การเน้นความสำคัญกับการใช้เวลาอย่างมีประโยชน์ แม้ว่าเวลาเป็นของมีค่าที่ได้มาฟรี ๆ แต่เราก็ไม่ควรปล่อยทิ้งเปล่า ๆ หรือหมดเปลืองไปกับเรื่องที่ไม่เป็นสาระ
Ex. For the investor, time is truly money.
(สำหรับนักลงทุนแล้ว เวลาเป็นเงินเป็นทองอย่างแท้จริง)
สำนวนนี้แปลตามตัว คือ ไม่มีเวลาจะเสียอีกแล้ว หรือหมายถึง การหมดเวลาเถลไถล เสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอีกต่อไป เช่น มีงานที่ต้องทำให้เสร็จ แต่ก็ปล่อยเวลาเนิ่นนานมาจนจะถึงกำหนดส่งอยู่แล้ว เลยต้องมาปั่นกันหัวฟูข้ามวันข้ามคืน ไม่หลับไม่นอน เพราะเวลาจวนเจียนจะหมดแล้ว
Ex. Hurry up! There's no time to lose. Don’t forget we must finish before the deadline in 2 hours.
(เร็ว ๆ เข้า ไม่มีเวลาเหลือแล้ว อย่าลืมสิว่าเราต้องให้เสร็จก่อนจะถึงเส้นตายในอีก 1 ชั่วโมง)
สำนวนนี้แปลตรงตัวว่า เวลาที่ควรพูดและเวลาที่ควรเงียบ หมายถึง รู้ว่าสถานการณ์ใดควรพูด เช่น การแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม ถ้าพูดแล้วมีประโยชน์ เป็นการเสนอวิธีแก้ไขปัญหาก็ควรแสดงความคิดเห็น แต่ถ้าพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์ โบ้ยความผิดไปคนนั้นทีคนนี้ที หรือพูดแล้วสร้างความแตกแยก ก็ควรเงียบไว้จะดีกว่า
Ex. Parents always told their children there is a time to speak and a time to be silent.
(พ่อแม่มักจะสอนลูก ๆ เสมอว่า เวลาใดควรพูดหรือไม่พูด)
สำนวนนี้ หมายถึง การทำงานหรือทำบางอย่างให้เสร็จก่อนเวลาหมด หรือก่อนถึงเส้นตาย หลายคนคงเคยคิดว่า การส่งงานให้เสร็จพอดีกำหนดนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่จะดีกว่านั้นไปอีกถ้าเราวางแผนงานดี ทำแต่เนิ่น ๆ ไม่ต้องเร่งรีบในช่วงใกล้หมดเวลา หรือเผื่อเวลาไว้สำหรับเหตุไม่คาดคิด เช่น ไฟดับ ต่ออินเตอร์เน็ตไม่ได้ ไฟล์มีปัญหา ฯลฯ
Ex. Although she was late to the exam, she managed to beat the clock and finished all of it 5 minutes before the end.
(ถึงแม้เธอเข้าสอบสาย แต่เธอยังสามารถส่งข้อสอบได้ก่อนหมดเวลา 5 นาที)
สำนวนนี้ หมายถึง ทำทันอย่างหวุดหวิด เกือบจะไม่ทันอยู่แล้ว หรือมาถึงในนาทีสุดท้าย ถ้าใครเคยพลาดรถไฟ หรือเครื่องบิน จะเข้าใจสำนวนนี้อย่างดี เพราะแค่นาทีเดียวก็มีความหมายมากเหลือเกิน ใครที่ต้องเดินทางหรือมีนัดหมาย มีกำหนดส่งอะไร ก็ต้องวางแผนเผื่อเวลาให้ดีค่ะ
Ex. We arrived at the airport in the nick of time.
(เราไปถึงสนามบินอย่างหวุดหวิดในนาทีสุดท้าย)
สำนวนนี้ แปลว่า หวุดหวิดจะไม่ทันการ มาถึงหรือเสร็จก่อนเวลานิดเดียว มักใช้เมื่อทำบางอย่างในวินาทีสุดท้าย สำนวนนี้มีความหมายเหมือนกับ In the nick of time ค่ะ อะไรก็ตามที่มีกำหนดเวลาแน่นอน เราต้องเร่งรีบ อย่ามัวชะล่าใจ เพราะบางอย่างไปไม่ทันก็คือไม่ทัน ซึ่งมีโอกาสสร้างความเสียหายได้ไม่มากก็น้อยเลยค่ะ
Ex. There was so much to do in this project. But we can turned it in at the eleventh hour.
(มีอะไรต้องทำหลายอย่างในโครงการนี้ แต่เราก็ทำเสร็จจนได้ในนาทีสุดท้าย)