กิจกรรม “ค่ายเด็กใฝ่ดี” จัดทำขึ้นเพื่อเป็นสะพานให้เด็กอายุ 8-12 ปี ที่อยู่ในช่วงวัยสำคัญของการเรียนรู้และสร้างรากฐานทักษะการใช้ชีวิต ที่เติบโตในสังคมเมืองได้สัมผัสเรียนรู้ธรรมชาติ และเติมเต็มค่านิยม ความอ่อนโยน ที่สอนไม่ได้ในห้องเรียนหรือเพียงพูดให้ฟัง แต่ต้องออกมาเรียนรู้จากห้องเรียนธรรมชาติ เพราะเราเชื่อว่าการเรียนรู้ที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก คือ การเรียนรู้ ค้นพบ ทดลอง และลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง ท่ามกลางความหลากหลายในสังคม เพื่อให้เติบโตมาเป็นคนที่สามารถพึ่งพาตนเอง รับผิดชอบต่อตนเองและสังคมได้ โดยได้จัด“ค่ายเด็กใฝ่ดี” รุ่นที่ 16 และ 17 ณ โครงการพัฒนาดอยตุงฯ จังหวัดเชียงราย ในคอนเซปต์ “สร้างความรัก จากความรู้ อยู่กับความงาม” ของธรรมชาติอย่างแท้จริงขึ้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อพาเด็กเมืองไปเรียนรู้ธรรมชาติอย่างใกล้ชิดบนดอย
ตลอดระยะเวลา 5 วัน 4 คืน บรรยากาศภายในค่ายเต็มไปด้วยความสนุกสนาน เด็ก ๆ ได้ความรู้คู่ประสบการณ์ชีวิตผ่านกิจกรรม อาทิ เดินสำรวจธรรมชาติ, ดูพันธุ์ไม้ป่า, ศึกษาลำธาร และโลกของแมลง สัตว์ตัวเล็กที่รักษาสมดุลธรรมชาติ, ส่องนก, เล่นกีฬาชนเผ่า, นอนเต็นท์, ตักบาตร, ทดลองทำอาหาร และทำงานศิลปะจากวัสดุธรรมชาติ เป็นต้น โดยมีพี่เลี้ยงและวิทยากรผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
งานนี้เหล่าบรรดาผู้ปกครองของเด็ก ๆ ที่เข้าร่วม “ค่ายเด็กใฝ่ดี” รุ่นที่ 16-17 เผยถึง ความรู้สึกและการเปลี่ยนแปลงของลูก ๆ ตนเองก่อนและหลังเข้าค่าย ..ชมพรรณ กุลนิเทศ คุณแม่ของ เด็กชายนนทพัทธ์ กุลนิเทศ และเด็กหญิงนัทธมน กุลนิเทศ กล่าวว่า “ที่ตัดสินใจให้ลูกไปเข้าค่ายเด็กใฝ่ดี เพราะคิดว่าอยากให้ลูกมีความเข้าใจและได้ความรู้คู่กับความรักในธรรมชาติ และมิตรภาพ จากเพื่อน ๆ และการดูแลของพี่ ๆ ในค่าย หลังจากกลับมาลูกเล่าให้ฟังว่า ชอบที่ได้ฝึกทำหลายอย่างด้วยตัวเอง ได้อยู่กับธรรมชาติที่ปกติอยู่ในเมืองไม่มีโอกาสได้เห็นสักเท่าไหร่ การเข้าค่ายได้ไปจับหิน ดูใบไม้ ดูแมลงพันธุ์หายาก ที่ต้องเข้าไปดูในป่าที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้นถึงจะได้เห็น และเข้าใจมากกว่าคำบอกเล่าหรืออ่านจากตำรา
ลูกยังแชร์ให้คนในครอบครัวฟังอีกว่า แมลงหายากที่มีอยู่เฉพาะในป่าและธรรมชาติที่สมบูรณ์มีชื่ออะไรบ้าง ถ้าเราไม่ได้เข้าป่า ก็จะไม่มีทางได้เห็นและไม่รู้ว่าธรรมชาติของเราสมบูรณ์แค่ไหน และถ้าเราไม่ช่วยกันอนุรักษ์ธรรมชาติ พันธุ์ไม้ สัตว์ป่าก็จะสูญพันธุ์ในที่สุด”
ใจปลื้ม วงศ์เจริญ คุณแม่ของ เด็กชายวิธ อยู่วิทยา เผยถึงที่ตัดสินใจให้ลูกไปค่ายเด็กใฝ่ดี เพราะอยากให้ลูกได้ความรู้ที่ไม่ใช่จากในตำราหรือพ่อแม่บอกเล่าเพียงอย่างเดียว “แม่เห็นว่า การเรียนรู้คู่ธรรมชาติบางทีผู้ปกครองก็ไม่สามารถสอนได้ การให้เค้าได้ไปเจอของจริงและเรียนรู้ อยู่กับธรรมชาติและเพื่อนใหม่ จะช่วยให้ลูกได้ฝึกฝนตัวเอง ทั้งวิธีคิดและความรู้ นอกจากนี้ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดอีกอย่างก็คือ เค้ากล้าตัดสินใจในเรื่องพื้นฐานได้เองมากขึ้น ช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น อ่อนโยนขึ้น คือปกติน้องจะไปไหนมาไหนกับแม่ตลอด ยิ่งเค้าเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้อง เวลาจะคิดหรือตัดสินใจอะไรก็จะมาปรึกษาแม่ หลังจากเข้าค่ายลูกมีความมั่นใจในการคิดเพิ่มขึ้น และใช้เวลาว่างในช่วงปิดเทอมให้เป็นประโยชน์ได้มากกว่าการนั่งเล่นสื่อโซเชี่ยลอยู่ที่บ้านค่ะ”
ด้าน ทศพล จินันท์เดช คุณพ่อของ เด็กชายปีย์ จินันท์เดช เล่าว่า “ความตั้งใจในการไปเข้าค่ายของลูกในครั้งนี้ ก็เพราะอยากให้เค้าได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มีความมั่นใจ เพราะในมุมของพ่อ ความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ลูกทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ ซึ่งค่ายเด็กใฝ่ดีปลูกฝังให้เด็ก ๆ เรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ธรรมชาติให้อะไรกับเรา และเราสามารถใช้ประโยชน์อะไรจากธรรมชาติได้บ้าง การอยู่ร่วมกับผู้อื่น ต้องปรับตัวเข้ากับเพื่อน ๆ และสังคมที่ไม่เคยรู้จักให้ได้ ซึ่งทั้งหมดที่พูดมา ลูกได้ลองทำเองในค่ายมาแล้ว และเค้าก็มาแชร์ประสบการณ์ให้คนในบ้านฟัง รู้จักตั้งคำถาม ตอบคำถาม และกล้าแสดงออกมากขึ้น”