หากยึดตามที่ประธานบริษัท Marvel กล่าวไว้ว่า ไม่เพียงครึ่งหนึ่งของมนุษย์ที่ต้องถูกลบไปครึ่งนึง แต่ยังหมายรวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดต่าง ๆ ครึ่งหนึ่งของดอกทานตะวันทั้งหมด หรือแม้กระทั่งแบคทีเรียในสกุล Samonella ก็หนีไม่พ้นเช่นกัน
สำหรับมนุษย์เอง หากลองย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1960 จำนวนประชากรโลกอยู่ที่ประมาณ 3 พันล้านคน จนกระทั่งปี ค.ศ.2000 จำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้นอีก 3 พันล้านคน นั่นหมายความว่า ถ้ามนุษย์หายไปครึ่งหนึ่ง ก็มีแนวโน้มที่จำนวนประชากรจะกลับมาเท่าเดิม จากที่เพิ่มขึ้นภายในระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมานั่นเอง
นักวิทยาศาสตร์และนักชีววิทยากล่าวว่า มนุษย์สามารถปรับตัวให้เข้ากับแผนการลดจำนวนประชากรได้อย่างน่าแปลกใจ แต่ทว่า สัตว์บางสายพันธุ์อาจต้องสูญพันธุ์ และเกิดความสับสนขึ้นในระบบนิเวศ ยกตัวอย่างเช่น สัตว์ที่เจริญพันธุ์ได้ดี มีลูกมากและไม่ต้องใช้เวลาในการเลี้ยงดูนัก ก็จะเริ่มเบียดเบียนสัตว์ที่มีลูกน้อย การเจริญพันธุ์ไม่ดีและใช้เวลาในการเลี้ยงดูนาน
โดยเฉพาะในกรณีของสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์อยู่แล้ว ถ้าหากถูกลบหายไป เหลือจำนวนประชากรครึ่งหนึ่ง จะหมายความว่า พวกมันจะยิ่งหาคู่ผสมพันธุ์ได้ยากขึ้นไปอีก และอาจจะสูญพันธุ์ไปในที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์ในแบบ “ผู้ล่าและผู้ถูกล่า” เช่น สิงโตกับกวาง และความสัมพันธ์แบบ “พึ่งพาอาศัยกัน” เช่น ผีเสื้อกับดอกไม้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า จะต้องเกิดความโกลาหลขึ้นมากมาย เนื่องจากเป็นวงจรความสัมพันธ์ที่มีความซับซ้อนมาก และไม่อาจคาดเดาผลลัพธ์ได้เลย
ดังนั้น อาจกล่าวถึงภาพรวมของระบบนิเวศ ถ้าหากเกิดการลบจำนวนประชากรลงครึ่งหนึ่งได้ว่า สัตว์ที่มีการผสมพันธุ์อย่างรวดเร็วจะไม่เพียงอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าในที่อยู่อาศัยของพวกมันเอง แต่จะเข้ามาอยู่ในอาณาเขตของถิ่นที่อยู่อาศัยของเผ่าพันธุ์หายากด้วย ส่งผลให้สัตว์หายากจะยิ่งหายากขึ้น รวมถึงความหลากหลายทางพันธุกรรมเองก็จะลดลง ท้ายที่สุด ความซับซ้อนและหลากหลายของระบบนิเวศก็จะเปลี่ยนไป
อย่างไรก็ตาม การลบจำนวนประชากรไปครึ่งหนึ่งอาจดีกว่าการทำลายสิ่งแวดล้อม เนื่องจากในปัจจุบัน สิ่งแวดล้อมได้ถูกทำลายลงอย่างต่อเนื่องด้วยน้ำมือมนุษย์ และยังส่งผลต่อสภาพอากาศ อุณหภูมิของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป การรุกล้ำถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ทำให้สัตว์หลายชนิดลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว บางชนิดต้องสูญพันธุ์ หากเทียบกับการดีดนิ้วลดจำนวนประชากรครึ่งหนึ่งของ Thanos แล้ว อาจเทียบไม่ได้กับพลังทำลายล้างของมนุษย์เลยก็เป็นได้