แปลตรงตัวได้ว่า ‘นาฬิกาที่ตายแล้วก็ยังบอกเวลาถูกตั้ง 2 ครั้งใน 1 วัน’ ซึ่งหมายความว่าถึงแม้จะดูไร้ประโยชน์ แต่อาจจะมีสักครั้งที่มีประโยชน์ก็ได้ อธิบายจากคำแปลตรง ๆ ได้ว่า เข็มสั้นและเข็มยาวของนาฬิกาจะหยุดอยู่ ณ เวลาหนึ่ง เช่น เข็มสั้นและเข็มยาวหยุดที่เลข 12 เหมือนกัน มันก็ยังสามารถบอกเวลาได้ถูกในเวลาเที่ยงวันและเที่ยงคืน สำนวนนี้สามารถใช้ได้กับสิ่งของหรือคนก็ได้ ใช้เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจริง
Ex:
A: Hey! I can’t believe that Liverpool is the champion of Premier League.
(นี่! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลิเวอร์พูลจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก)
B: I have no idea! But even a broken clock is right twice a day.
(ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน! แต่ก็นะ ขนาดนาฬิกามันยังบอกเวลาถูกตั้ง 2 ครั้งต่อวัน มันก็คงเกิดได้แหละนะ)
สำนวนนี้แปลว่า ‘การเดินทางหลายพันไมล์นั้นเริ่มต้นจากก้าวแรกทั้งนั้น’ ใช้ในการให้กำลังใจให้เริ่มออกจาก Comfort Zone แล้วลงมือทำ หรือพูดเพื่อส่งเสริมให้คนเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างที่คนนั้นอาจจะกลัวที่จะเริ่มต้น
Ex. I know it is hard for you to open your own cloth brand, but you know what? A journey of a thousand miles begins with a single step. Follow your dream and I will support you in every way.
(ฉันรู้นะว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเริ่มต้นทำแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง แต่เธอรู้ไหม การเดินทางหลายพันไมล์มันเริ่มต้นจากก้าวแรกกันทั้งนั้น ทำตามฝันเธอเถอะ! และฉันจะคอยสนับสนุนเธอในทุกทางเลยล่ะ)
สำนวนนี้หมายความว่า ‘อย่าสอนหรือแนะนำใครถ้าเราเองก็ยังไม่เคยทำมัน’ สมมติว่ามีเพื่อนของเรากำลังจะเริ่มลดน้ำหนักอย่างจริงจัง และเราเองก็ยังไม่เคยลดน้ำหนักเลยซักครั้งในชีวิต เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราไม่ควรทำคือการไปแนะนำเพื่อนอย่างกับคนที่รู้ทุกอย่าง เพราะเราอาจจะให้ข้อมูลผิดไป
Ex:
A: I want to lose some weight before graduation. I think I can do it!
(ฉันอยากลดน้ำหนักก่อนรับปริญญาจัง ฉันว่าฉันทำได้นะ!)
B: You should start with bodyweight every day and eat only 2 meals!
(เธอควรเริ่มบอดี้เวททุกวันก่อนเลยนะ แล้วก็กินข้าวแค่ 2 มื้อก็พอ!)
C: Wait. Have you ever gone on a diet before?
(เดี๋ยวนะ เธอเคยลดน้ำหนักด้วยหรอ)
B: Hm… Actually no. I just read someone posted it on Facebook.
(อืม... จริง ๆ ก็เปล่า ฉันพึ่งเห็นใครสักคนโพสต์น่ะ)
C: Then don’t talk the talk if you can’t walk the walk! You gave her the wrong information about losing weight.
(งั้นอย่าแนะนำเลยดีกว่านะถ้าเธอไม่เคยทำจริง ๆ เธอให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลดน้ำหนักแบบผิด ๆ ไปนะ)
สำนวนนี้แปลตรง ๆ ได้ว่า ‘อย่าตัดสินผู้ชายจนกว่าคุณจะได้ลองเดินด้วยรองเท้าของเขา’ ซึ่งตีความได้ว่า อย่าพึ่งตัดสินใคร หากเราไม่รู้ว่าคนนั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง เพราะแต่ละคนนั้นมีชีวิตที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราเจอกับสิ่งที่เขาเจออาจจะหนักไม่เหมือนกัน ดังนั้นอย่าเที่ยวตัดสินว่าใครดีหรือร้ายจากการที่เราแค่เห็นหน้า พูดคุยไม่กี่ครั้งเท่านั้น
Ex. You may think that being me is so great. I get what I want, and everything seems to be easy for me. But please don’t judge a man until you have walked a mile in his shoes. I am not happy about this because I have no friend at all. I don’t even want to be myself!
(เธออาจจะคิดว่าการเป็นฉันมันช่างดีอะไรขนาดนี้ อยากได้อะไรก็ได้ ทุกอย่างดูง่ายสำหรับฉันไปหมด แต่อย่าพึ่งตัดสินอะไรจนกว่าเธอจะได้ลองมาเป็นฉันเถอะ ฉันไม่มีความสุขกับมันเลยสักนิด ฉันไม่อยากเป็นตัวเองด้วยซ้ำ!)
แปลตรง ๆ ได้ว่า ‘อย่าวางเกวียนไว้หน้าม้า’ สำนวนนี้มีที่มาจากการที่ในสมัยก่อนนั้น คนจะใช้เกวียนในการขนของ ซึ่งต้องใช้ม้าลากจูงเกวียนไป ถ้าหากเอาเกวียนไปวางไว้หน้าม้าก็ไม่เกิดอะไรขึ้น เพราะวางผิดตำแหน่ง ดังนั้นสำนวนนี้จึงหมายถึงว่า เราต้องรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในสถานการณ์นั้น ต้องรู้จักจัดลำดับความสำคัญว่าอะไรควรจัดการก่อน
Ex:
A: I am dreaming about our family. I want to have five kids, so we don’t have to be alone when we get old. Also, I want to buy a big house for you too!
(ฉันฝันเกี่ยวกับครอบครัวของเรานะว่าอยากมีลูกสัก 5 คน เราจะได้ไม่เหงาตอนแก่นะ แล้วก็อยากซื้อบ้านหลังใหญ่ให้เธอด้วยนะ!)
B: I know you love me that much but don’t put the cart before the horse! We have to work hard! And even harder to raise five kids and buy that big house!
(ฉันรู้ว่าเธอรักฉันขนาดนั้น แต่ช่วยจัดลำดับความสำคัญหน่อยได้ไหม! เราต้องทำงานหนักมากและมากกว่าเพื่อที่จะเลี้ยงลูก 5 คน ไหนจะซื้อบ้านหลังใหญ่ของเธอนั่นอีก!)