สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวทรูปลูกปัญญาทุกๆคน วันนี้เรามีเรื่องเกี่ยวกับอาชีพพยาบาลมาบอกด้วยหล่ะ อย่างที่บอกไปนะคะว่าพยาบาลเนี่ยไม่ใช่แค่หน้าตาดีแล้วจะเป็นได้ง่ายๆ ทุกๆคนรวมถึงตัวเราเองก็อาจจะเคยคิดว่าแค่มีหน้าตาที่ดี มีจิตใจเมตตา โอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือผู้อื่นก็สามารถเป็นพยาบาลได้แล้วใช่ไหมล่ะคะ แต่เปล่าเลย เบื้องหลังการเป็นพยาบาลที่ดีและมากประสบการณ์แบบนี้ มันไม่ง่ายเลยนะคะ
เราเองได้มีโอกาสเข้ามาฝึกงานที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และได้สัมผัสอาชีพพยาบาลอย่างใกล้ชิดจากโครงการทำก่อนฝัน รุ่นที่4 ซึ่งเป้นโครงการที่ดีมากๆที่จะทำให้เราได้สัมผัสประสบการณ์การทำงานของอาชีพที่เราใฝ่ฝัน ว่าเรานั้นชอบอาชีพนี้จริงๆหรือเปล่า เราเชื่อนะว่าทุกคนที่มาโครงการนี้จะต้องค้นพบตัวเองได้อย่างแน่นอน และทุกคนก็คงมั่นใจแล้วว่าอาชีพนี้แหละที่เราอยากเป็น แต่ถึงแม้หลังจากจบโครงการนี้จะทำให้เรายังอยากที่จะเป็นในอาชีพนี้หรือไม่ก็ตาม ทุกคนจะได้เรียนรู้และค้นหาตัวเองได้ เพราะไม่ว่าทางใดก็เท่ากับว่ามันเป็นความสำเร็จของเราอีกก้าวหนึ่ง และมันก็เป็นจุดประสงค์ของทางโครงการทำก่อนฝันที่ทางทรูปลูกปัญญาจัดขึ้นด้วยนั่นเอง
สำหรับเรานะ เรามาด้วยใจที่อยากเป็นพยาบาล เพราะเราคิดว่าพยาบาลเป็นอาชีพที่เราได้ช่วยเหลือผู้อื่นตลอดเวลา มันเป็นเหมือนการทำความดีทั้งๆที่เราก็ทำงานของเราไปด้วย ประมาณยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวนั่นแหละ555 แต่จริงๆก็ไม่ใช่แค่นี้หรอกนะ เราอยากดูแลครอบครัวของเราได้ในยามเจ็บป่วย เพราะเราเคยสัมผัสประสบการณ์นั้นแล้ว มันแย่มากๆเลยนะที่เราต้องทนให้คนในครอบครัวของเราทนทรมาณรอรถพยาบาลขับมาไปส่งที่โรงพยาบาลโดยที่เราไม่สามารถปฐมพยาบาลหรือช่วยอะไรเขาได้เลย อาจเพราะเราไม่มีประสบการณ์ ความรู้ การที่อยากจะช่วยเหลืออาจจะยิ่งทำให้อาการนั้นมันยิ่งแย่ลงไปอีก และทั้งหมดเป็นเหตุผลในการที่เราตัดสินใจที่จะเป็นพยาบาล ถ้าทุกๆคนอยากที่จะเป็นหรือสัมผัสกับอาชีพพยาบาลของเราในตลอด 5 วันนี้เราก็ยินดีนะที่จะเล่าให้ทุกคนฟัง ;)
วันนี้เป็นวันแรกที่ได้ทดลองงานที่โรงพยาบาล โดยมีพว.บุษรัตน์ สีนวลแจ้ง หรือพี่น้ำผึ้ง เป็นพี่พยาบาลที่คอยดูแลและให้ความรู้ตลอด 5 วันนี้ เราตื่นเต้นมากๆเพราะว่าที่โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลที่มีผู้ป่วยมะเร็งเป็นส่วนใหญ่ ทำให้แอบกังวลว่าเราจะไปทำอะไรรบกวนผู้ป่วยไหม วันแรกพี่ผึ้งพาพวกเราไปสำรวจดูโรงพยาบาลกันก่อนว่ามีแผนกอะไรบ้าง อาทิเช่น OPD(ผู้ป่วยนอก) , IPD(ผู้ป่วยใน) , X-REY , การฉายรังสี และการให้เคมีบำบัด เป็นต้น หลังจากนั้นพี่ผึ้งก็พาเรามาที่ชั้น 4 ชั้นที่ทำงานของพี่ผึ้ง แผนกรังสีต่างๆ มีทั้งเครื่อง CT scan , MRI scan และห้องผ่าตัดเล็กๆกรณีมีการเก็บตัวอย่างเซลล์หรือเนื้อเยื่อบริเวณเต้านมไปตรวจ ซึ่งแผนกนี้เป็นแผนกที่เราชอบมากที่สุด เพราะมันทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ในการตรวจร่างกายมนุษย์ และอุปกรณ์ที่ทันสมัยในการผ่าตัดชิ้นเนื้อ ส่วนใหญ่เราจะอยู่ที่ห้องทำ CT scan โดยในการเข้าเครื่อง CT นี้บางครั้งต้องมีการสวนทวารและฉีดน้ำผ่านสายยางเข้าไปเพี่อขยายลำไส้ ในกรณีที่ต้องการตรวจบริเวณช่องท้องทั้งหมด เพราะฉะนั้นในวันนี้เราจึงได้มีโอกาสได้เห็นการสวนทวาร โดยพี่พยาบาลจะขออนุญาตผู้ป่วยทุกครั้งเมื่อมีเราเข้าไป เพราะเป็นสิทธิชองผู้ป่วยที่จะต้องการความเป็นส่วนตัว และทุกครั้งผู้ป่วยที่นี่จะน่ารักและอนุญาตเสมอ จากนั้นพี่ผึ้งก็ให้เราได้ทดลองสวมชุดปลอดเชื้อ โดยขั้นตอนการใส่ค่อนข้างยุ่งยากนิดหน่อยเพราะเราต้องไม่นำเชื้อเราไปแพร่ให้แก่ผู้ป่วยและไม่ให้เชื้อผู้ป่วยเช้ามาในร่างกายเราเช่นกัน พี่ผึ้งบอกว่า "การที่เราไปโรงพยาบาล แน่นอนว่าการได้รับเชื้อโรคนั้นเป็นสิ่งที่เราเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว สิ่งที่เราทำได้ก็คือการปกป้องตัวเราเอง"
ีวันนี้พี่ผึ้งพาเราไปเยี่ยมชมแต่ละแผนกอย่างละเอียดมากขึ้น เริ่มที่แผนก ICU เป็นแผนกที่ต้องการพยาบาลวิชาชีพสูงมาก เพราะทุกวินาทีมีความเสี่ยงต่อผู้ป่วยตลอดเวลา ดังนั้นการดูแลจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด โดยมีพยาบาล 1 คนต่อผู้ป่วย 1 คนนั่นเอง จากนั้นก็ไปดูการให้เคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง โดยการให้ยาของที่นี่นั้นจะไม่ให้แบบค้างคืน บางคนให้ 3-4 ชม. บางคน 7-8 ชม.ตามชนิดของโรคและแพทย์เห็นสำควร พยาบาลก็จะมีหน้าที่คอยให้ยาผ่านเส้นเลือดโดยจะต้องละเอียดมากๆ ต้องเช็คให้แน่ใจว่าเป็นผู้ป่วยถูกคน เพราะหากผิดพลาดให้ยาผิดคนบางชนิดของโรคอาจไม่เหมาะกับยาชนิดนั้นจะทำให้เกิดอันตรายได้ ขณะให้ยาเราจะต้องมีถุงมือและหน้ากากคาร์บอนสวมป้องกันเสมอเพราะโรคมะเร็งบางโรคติดต่อกันได้จากการสัมผัสหรือแม้แต่ทางอากาศ ต่อไปที่สุดท้ายสำหรับวันนี้นั้นก็คือการขึ้นวอร์ดหรือการอยู่เวรดูแลผู้ป่วยใน โดยการเฝ้านั้นพยาบาล 1 คน จะต้องดูแลผู้ป่วย 4 คน ทั้งการดูแล การให้ยา และการใส่ใจในผู้ป่วย ผู้ป่วยบางคนอาจจะยังรู้หรือไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็ง เพราะฉะนั้นการพูดคุยกับผูป่วยนั้น เป็นสิ่งสำคัญต่อหน้าที่พยาบาลมากๆอย่างหนึ่งเลย "เพราะเขาป่วยทางกายแล้ว อย่าให้เขาต้องป่วยทางใจเลย"
วันนี้พี่ผึ้งพามาที่แผนก OPD ค่ะ หรือผู้ป่วยนอก โดยแผนกนี้เป็นแผนกที่ต้องพบปะผู้คนมากมาย และค่อนข้างวุ่นวายมากกว่าแผนกอื่นๆมากๆเลยเพราะขนาดเราเอง ยังเกือบไม่ได้เข้าไปเลย แผนกนี้ค่อนข้างยุ่งวุ่นมากๆ เริ่มตั้งแต่ตรวจสอบประวัติ เจาะเลือด เช็คผล และนำส่งตรวจ และยังมีรายละเอียดต่างๆที่เราต้องเข้าใจเกี่ยวกับผู้ป่วย ซึ่งยอมรับเลยว่าเราต้องมีความอดทนมากๆจริงๆ หลังจากเสร็จที่แผนกOPDนั้นเราก็ได้ไปดูหมอผ่าตัดชิ้นเนื้อเยื่อเพื่อนำไปตรวจ แอบวาบเสียวนิดหน่อย แต่เราก็ต้องยืนดูด้วยความสงบ เพื่อไม่ให้ไปรบกวนสมาธิหมอและให้เกียรติคนไข้ การผ่าตัดค่อนข้างซีเรียสและปลอดเชื้อมากๆ ทำให้เราต้องไม่ขยับตัวมากจะเป็นการดีที่สุดและยืนประสานมือเข้าหากัน ในบางครั้งพี่พยาบาลก็จะให้ช่วยหยิบอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆบ้างซึ่งการแกะจะเป็นแบบsterile เพื่อไม่ให้อุปกรณ์สัมผัสกับเชื้อโรคนั่นเอง เป็นการผ่าตัดที่ลุ้นระทึกและเกร็งมากๆเลยค่ะ หลังจากออกจากห้อง หมอก็ใจดีมากๆ ออกมาอธิบายเกี่ยวกับวิธีการคร่าวๆว่าทำไมต้องทำแบบนี้ ทำเพื่ออะไร โดยพี่พยาบาลก็จะให้ความรู้เสริมอยู่ข้างๆ ตอนบ่ายพี่ผึ้งจำลองสถานการณ์ฉุกเฉินกรณีที่ผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นขณะทำ CT scan ซึ่ง เราจะต้องทำ CPR โดยการ CPR ครั้งนี้จะไม่เหมือนที่อื่นๆ เพราะเราได้จำลองการเกิดขึ้นจริงๆที่โรงพยาบาลจริงๆ พี่ๆพยาบาลเต็มที่และทำมันออกมาได้เหมือนจริงมากๆ อาจเพราะอยู่ในโรงพยาบาล ทำให้อุปกรณ์ช่วยเหลือค่อนข้างเยอะ แต่นั่นก็เป็นการจำลอง CPR คนไข้ที่เล่นใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นเลยแหละ วันนี้การทำ CPR ของพี่ๆอาจจะดูเหมือนเป็นการเซ็ตอุปกรณ์ขึ้นมาให้มันครบถ้วน แต่พอถึงสถานการณ์จริงนั้นมันอาจจะไม่เป็นไปตามสเต็ป แต่เราก็ต้องตั้งสติและทำตามสเต็ปนั้นให้ได้
วันนี้พี่ผึ้งได้ให้โอกาสเราได้ทดลองทำหน้าที่พยาบาลมากขึ้น โดยให้คำแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเริ่มจากการวันความดัน ชีพจร พาคนไข้เข้าห้อง Ct scan พาคนไข้ดื่มน้ำ และที่สำคัญได้เห็นการผ่าตัดตรวจก้อนเนื้อที่เต้านม ถึง 4 เคส และมี 2 วิธี ในการทำด้วยกัน เราจะบอกให้ฟังได้คร่าวๆนะ ก็คือวิธีแรกก็คือการใช้เข็มเจาะเข้าไปแล้วดูดเซลล์ออกมา เก็บใส่สไลด์ แล้วแช่ลงใน Ethyl alcohol จำนวน 4 เข็ม วิธีที่สองอันนี้ค่อนข้างน่ากลัวและหวาดเสียวสำหรับเรามากๆ ผู้ป่วยคงเจ็บมากๆน่าดูเพราะหมอจะใช้ปืนที่จ่อเข้าไป โดยขนาดของปลายปืนที่เจาะเข้าไปนั้น กว้างประมาณ 2-3 mm. ได้ โดยการทำงานของมันเมื่อกดที่ยิงของปืนจะทำให้ปลายปืนนั้นแยกเป็น 2 ส่วน แล้วหนีบเนื้อเยื่อบริเวณนั้นมาใส่ใน formalin ทำแบบนี้เป็นจำนวน 4 ครั้ง เป็นอันเสร็จสิ้น โดยพยาบาลจะทำหน้าที่ช่วยเตรียมอุปกรณืให้หมอ เช็ดทำความสะอาดแผล และนำผลตรวจไปตรวจ ซึ่งเราก็คงต้องบอกอีกครั้งแหละว่าทุกขั้นตอนการทำเราต้องปลอดเชื้อและระมัดระวังอย่างมากในทุกขั้นตอนเพราะถ้ามีการปนเปื้อนของอุปกรณ์ หรือการเสียหายของตัวชิ้นเนื้อเอง นั่นหมายถึงการเตรียมการใหม่ทั้งหมด ดังนั้นทุกขั้นตอนควรใส่ใจและระมัดระวัง อย่าคิดว่าตัวเองถูกเสมอ
หว่า~ วันสุดท้ายแล้ว ที่ได้มาฝึกงานที่นี้ วันนี้พี่ผึ้งไม่ได้ให้เราทำอะไรมากนัก ให้คอยดูแลผู้ป่วย วัดความดัน อ้อ! ที่สำคัญเราต้องขยันล้างมือบ่อยๆด้วย เกือบลืมไป เพราะมันสำคัญมากๆ เราต้องมีการสัมผัสผู้ป่วย จับนั้น โดนนี่ เราไม่รู้หรอกว่ามีสิ่งสกปรกมากมายขนาดไหน ดังนั้นการทำความสะอาดมือถือเป็นสิ่งสำคัญที่พยาบาลทุกคนต้องทำสม่ำเสมอเลย พี่ผึ้งกำชับตั้งแต่วันแรกแหน่ะ ˆˆ วันนี้เราได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นกับผู้ป่วย พาผู้ป่วยไปวัดความดัน และพูดคุยกับผู้ป่วย ถือเป็นการสร้างสัมพันธ์ที่ดีมากๆระหว่างเรากับผู้ป่วยเลย เพราะผู้ป่วยที่นี่น่ารักมากๆ แต่ถึงวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายยังไง มันก็เป็นวันที่เราตั้งใจมากๆเหมือนกันเพราะวันนี้เป็นอีกวันที่เราต้องนำเสนอผลงานต่อพี่ๆพยาบาลทุกคน แอบกดดันนิดหน่อย เพราะวันนี้มีการประเมินตัวเราด้วยสำหรับตลอด 5 วันที่ผ่านมา เพราะงั้นเราจึงตั้งใจกับวันนี้ให้มันออกมาดีเป็นพิเศษทั้งผลงานและการปฏิบัติงานของเรา และเราก็ได้เห็นผลนั้นแล้วด้วย ภูมิใจกับผลงานครั้งนี้มากๆเลยแหละ :)
สำหรับเรานะ ขอนิยามเป็นประโยคสั้นๆก่อนเลยว่า คือ การดูแลด้วยหัวใจ เราว่าคำๆนี้มันเหมาะที่สุดแล้วอ่ะ การเป็นพยาบาลมันไม่ได้เป็นเรื่องสนุกที่ใครๆก็สามารถมาเป็นได้ เราจะได้ยินพี่พยาบาลทุกๆท่านพูดอยู่เสมอๆว่าต้องใจรัก อดทน และเสียสละในการพร้อมที่ดูแลผู้ป่วยอย่างรอบคอบและมีสติ ตอนแรกเราก็คิดนะว่ามันจะขนาดนั้นเชียวหรอ แต่ตอนนี้เรากลับคิดว่ามันต้องมากกว่านั้นขึ้นไปอีก และมากขึ้นเรื่อยๆด้วย
เราว่ามันคือการที่เราได้เห็นผู้ป่วยที่เราดูแลเขาในตอนที่อาการเขาแย่มากๆ เดินกลับมาหาเราในสภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์นี่แหละ นั่นคือสิ่งที่พยาบาลทุกคนต้องภูมิใจและดีใจที่สุดแล้วจริงๆ
เราคิดว่าส่วนใหญ่เป็นแบบนั้นนะ นอกจากจะมีการไปเป็นพยาบาลที่อื่นตามรัฐบาลหรือเอกชนอะ เช่นโรงเรียน คลีนิก หรือแม้ในป่าที่ชนบท และพยาบาลบางคนก็ออกไปศึกษาต่อ ทำวิจัยต่างๆตามที่อื่นๆ หรือถ้าเรียนต่อไปทางด้านเฉพาะทางแล้ว เราว่าสามารถเปิดคลีนิกเป็นของตัวเองได้เลยแหละ แต่เราเชื่อนะว่าทุกคนมีความเป็นพยาบาลในตัวเอง ขอแค่ทุกคนขวนขวายที่จะหาความรู้บางสิ่งบางอย่างที่เราสามารถหาได้ตามอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ เช่น ของโรงพยาบาล , สภากาชาด และนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เราว่าเป็นจุดเริ่มต้นของพยาบาลที่ีดีนะ
เราจะบอกว่าทุกคน555 ทุกคนจริงๆนะ งั้นเราของยกตัวอย่างหลักๆเลย เช่น
แพทย์ : แน่นอนอยู่แล้ว ว่าพยาบาลต้องคู่กับแพทย์ เอ้ย ต้องทำงานร่วมกับแพทย์ พี่ไก่ (พี่พยาบาลหัวหน้าแผนก OPD)บอกว่าพยาบาลเปรียบเสมือนภรรยาของแพทย์เลยก็ว่าได้ เพราะต้องประสานการทำงานตลอดเวลา แพทย์สั่ง พยาบาลทำตาม คนไข้มีอาการผิดปกติพยาบาลต้องรีบแจ้งแพทย์ การได้ทำงานร่วมกับแพทย์เนี่ยเราว่ามันเหมือนการได้เรียนรู้ไปด้วยเหมือนกันนะ เพราะเมื่อไหร่ที่เราไม่เข้าใจในคำสั่งของแพทย์เราก็อาจถามหรือเสนอในวิธีของเราอย่างสุภาพได้ ซึ่งแพทย์ก็จะให้คำตอบกับเราได้ดีเสมอ
เภสัชกร : อาชีพนี้แน่นอนว่าสำคัญไม่แพ้แพทย์เลย เพราะในขั้นตอนการจัดยาและจ่ายยา พยาบาลต้องประสานงานกับเภสัชกร และทำงานร่วมกัน เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาที่ถูกต้องและครบถ้วนตามที่แพทย์สั่ง
เทคนิคการแพทย์ : การที่เจาะเลือดหรือต้องการตรวจของเหลวภายในร่างกายแน่นอนว่านักเทคนิคการแพทย์จะมีบทบาทมากที่สุดในการนำของเหลวภายในหลังจากที่พยาบาลเก็บตัวอย่างมาแล้วนั้น มาเพื่อตรวจสอบของเหลวก่อนจะส่งผลการตรวจให้แพทย์อีกที
นักกายภาพบำบัด : มองข้ามไม่ได้เลยจริงๆสำหรับอาชีพนี้ เป็นอาชีพที่สำคัญมากๆเลย เพราะในบางครั้งที่ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติก็ต้องให้นักกายภาพบำบัดช่วยเหลือและฟื้นฟูสภาพร่างกายของผู้ป่วยให้แข็งแรงขึ้น ตามหลักการทำงานที่เฉพาะด้านและวิธีที่ถูกต้อง
นอกจากนี้ยังมี แพทย์เฉพาะทางด้านต่างๆ ผู้ช่วยพยาบาล หมอเทคหรือคนคุมเครื่องฉายรังสี เจ้าหน้าที่ ต้องเป็นคนที่ใส่ใจผู้ป่วยหรือแม้แต่แม่บ้านเองก็ตาม ความสะอาดถือเป็นสิ่งสำคัญในโรงพยาบาลที่ขาดไม่ได้ เราถึงบอกไงว่าทำงานร่วมกับทุกคน แค่ลำดับความสำคัญแตกต่างกันไป แต่มันก็เป็นสิ่งที่ขาดอันใดอันหนึ่งไปไม่ได้เลยแหละ
ต้องเป็นคนที่ใส่ใจผู้ป่วย ช่างสังเกต มีไหวพริบ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันอยู่ในความดูแลของเราทั้งหมด มีทักษะการพูดที่ดีอันนี้เราว่าสำคัญต่อจิตใจผู้ป่วยมากๆ ต้องพร้อมปรับตัวให้ได้ในทุกสถานการณ์ บางครั้งอาจมีเรื่องเร่งด่วนเข้ามา การรับมือกับคนไข้ หรือแม้แต่ญาติผู้ป่วยที่มีอารมณ์ที่แตกต่างกันมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆแต่เราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ด้วยดีค่ะ
ข้อดี : เราได้ความรู้ในการดูแลคนในครอบครัว ถึงบางครั้งเราอาจจะไม่มีเวลาแต่เมื่อครอบครัวเจ็บป่วยเราว่า เราก็รู้ว่าต้องส่งไปที่ห้องตรวจไหน และมันเป็นอาชีพที่เหมือนได้ทำบุญไปด้วยนะ เพราะเราได้ช่วยเหลือผู้ป่วย คนรอบข้าง และสังคมจากอาการบาดเจ็บ ด้วยการสร้างพลังกายที่ดีและจิตใจที่เข้มแข็งให้แก่ผู้ป่วย บางครั้งเราต้องเจอสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดแต่สิ่งเหล่านั้นจะทำให้เราเข้มแข้งในที่สุด เป็นเหมือนการพัฒนาตัวเองไปด้วย เราว่าการที่เราทำดีกับใครหรืออะไร เราก็จะได้ผลดีนั้นกลับมา อาจจะไม่ได้มาในรูปแบบกับเราโดยตรงแต่ได้กับครอบครัวของเรา มันก็เรื่องที่น่ายินดีเหมือนกันนะเราว่า
อันนี้เป็นโควทที่เราลองถามพี่พยาบาลดูว่า เราจะทำยังไงถ้าหากญาติผู้ป่วย มาพูดจาไม่ดีใส่เรา เวลาที่มีการเสียชีวิตเกิดขึ้น มันต้องมีโอกาสเกิดขึ้นอยู่แล้ว ทั้งๆที่เราตั้งใจที่จะดูแลอย่างดีที่สุดแล้ว เพราะถ้าเป็นเราเองก็คงทำตัวไม่ถูกเหมือนกันถ้าถูกตำหนิในสิ่งที่เราตั้งใจมากๆ พี่พยาบาลบอกว่า "ประสบการณ์ทำงาน จะทำให้น้องก้าวผ่านมันไปเอง" ถ้าตอนนั้นเราพยายามเต็มที่ที่สุดแล้ว แต่ช่วยผู้ป่วยไว้ไม่ได้ เราก็ต้องเข้าใจแล้วยอมให้ญาติดุด่าว่าเราไป เพราะเราต้องเข้าใจว่าเขาอยู่ในสภาวะที่สูญเสีย เอาใจเขามาใส่ใจเรา และหลังจากนั้น ก็ค่อยอธิบายให้เขาฟังด้วยเหตุผผลอย่างใจเย็น เราว่ามันใช้ได้กับหลายเหตุการณ์ในชีวิตเราเลย จึงชอบโควทอันนี้มากที่สุด