เป็นบุคคลที่มีหน้าที่สร้างสรรค์งานใหม่ๆและกล้านำเสนอสิ่งใหม่ๆ ไม่ซ้ำซากแบบเดิม ทำให้งาน attack คนได้ คนเป็นครีเอทีฟ ไม่จำเป็นต้องจบสายนิเทศหรือโฆษณาแต่อย่างใด ขอเพียงแค่คุณเป็นคนคิดเป็น มีความคิดสร้างสรรค์ มีความแปลกใหม่ ก็สามารถเป็นครีเอทีฟได้ ซึ่งความคิดสร้างสรรค์จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักสังเกตและมีประสบการณ์เยอะๆ เพราะสองสิ่งนี้จะนำมาซึ่ง ไอเดียใหม่ๆ
การมาฝึกงานครั้งนี้เราไม่ได้มาเพียงคนเดียว แต่ยังมีเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรมอีก 3 คน ได้แก่ พราว ฝ้าย และข้าวปั้น (ทีมหญิงล้วนจ่ะแม่)
บริษัทที่เรามาฝึกงานคือ บริษัท Rabbit's tale เป็นเอเจนซี่โฆษณาที่ติด Top10 ของไทยเลยนะ! เราว่าโฆษณาของที่นี่ต้องเคยผ่านๆตาทุกคนมาบ้างแหละ เพราะมีแมสๆหลายตัวเลย เช่น แม่มณีของSCB โฆษณาสลับหัวคน 2 genของTMRW โฆษณาสินมั่นคง ฯลฯ
นอกจากทำงานออกมาเท่แล้ว ออฟฟิศก็ออกแบบมาเท่ที่สุดเลยแม่ ปลอดโปร่ง มีต้นไม้กลางออฟฟิศ มีโต๊ะปิงปอง มีโต๊ะสนุ๊ก มีลานสเก็ตบอร์ท มีครัวสุดหรู มีสไลเดอร์ให้พนักงานมาสไลด์เวลาคิดงานไม่ออกด้วย ไหนจะมีห้อง Nab Room ให้พนักงานมางีบอีก นี่มันออฟฟิศในอุดมคติชัดๆ
เป็นวันแรกที่มาฝึกงาน คืนก่อนมานี่คือตื่นเต้นแบบข่มตานอนแทบไม่ได้เลย5555555 ในตอนเช้าได้เจอกับพี่แชมป์ (Manager) และพี่ตุ๊กติ๊ก (HR) ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท และพาเราเดินทัวร์ทั้งในออฟฟิศและร้านอาหารหลังออฟฟิศ แถวนี้มีร้านอาหารน่ากินๆเยอะเลยยยยยย
ในช่วงบ่ายได้มาพบกับ พี่ตะวัน (เทียบตะวัน ลิ้มจิตรกร) เป็นครีเอทีฟมือฉมังของที่นี่ พบกันครั้งแรกพี่ตะวันก็ได้มอบแบบฝึกหัดให้เลย
แบบฝึกหัดแรกคือการให้พวกเราแต่ละคน เลือก adjective มาหนึ่งคำ แล้วลิสต์ว่า adjective นี้ทำให้นึกถึงอะไรบ้างแล้วมาพรีเซ้น
พวกเราลิสต์กันมาคนละ 20 อัน แล้วมาพรีเซ้นกับพี่ตะวัน พี่ตะวันก็จะแนะนำว่าอันนี้ได้อันนี้ไม่ได้
" ทำโฆษณา ต้องสื่อให้มัน visual คนดูแล้วเก็ทเลย ไม่ต้องอธิบายเยอะ "
วันนี้ลงจาก bts ไม่ต้องต่อวินมาบริษัทแบบเมื่อวาน เพราะวันนี้ขึ้นรถตู้บริษัทมา (sirviceเค้าดีจริงๆ) ช่วงเช้าพี่ตะวันไปคุยงานกับลูกค้าข้างนอก พี่นก ที่เป็น PM ก็มาชวนพวกเราคุย พี่นกเล่าให้ฟังกว้างๆว่ากว่าจะมาเป็นโฆษณาตัวนึงต้องผ่านอะไรบ้าง ฟังแล้วก็รู้สึก หูยยย กว่าเราจะได้เห็นโฆษณาตัวนึงมันกระบวนการเยอะขนาดนี้เลยหรอเนี่ย
ช่วงบ่ายได้ไปนั่งคุยกับ พี่ภัทร (วลัญช์ เจริญสมบัติอมร) พี่ภัทรก็อธิบายว่า ครีเอทีฟ 1 ทีม ก็จะแบ่งงานออกเป็น 2 ตำแหน่ง คือ
Copywriter: คนเขียนบทโฆษณา เขียนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่อง เพลง คำโปรยตั่งต่าง และ
Art Director: บุคคลที่เอาภาพที่จินตนาการในหัวออกมาให้คนอื่นเข้าใจ
พี่ภัทรบอกว่า ครีเอทีฟ จะเรียกว่า งานหนักก็งานหนัก จะชิวก็ชิว เพราะจะตีป้อม เล่นเฟส ดูซีรีย์ จะทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าเดดไลน์มาแล้วงานไม่เสร็จเอ็งตาย!! เมื่อถามถึงเวลาในการทำงานของครีเอทีฟ พี่ภัทรก็บอกว่า เวลาค่อนข้าง flexible ไม่ต้องมาเช้าก็ได้ แต่ต้องคิดงานให้เสร็จ "อย่างเมื่อวานพี่มาเที่ยง กลับบ้านก็ตี 2 ถ้าวันไหนมีตรวจงานกับลูกค้าตอนเช้า พี่ก็จะนอนกลิ้งอยู่แถวนี้แหละ"
และเราก็ได้ถามอีกว่า กลับดึกขนาดนี้ คนเป็นครีเอทีฟเขามีครอบครัวกันบ้างไหมคะ พี่ภัทรก็ได้ผายมือไปหาพี่คนนึง แล้วก็บอกว่าเนี่ยอย่างพี่คนนี้เค้าก็แต่งงานกำลังจะมีลูกคนที่ 2 แล้ว พี่เค้าก็ได้บอกว่าการที่เราทำงานอย่างนี้สิ่งสำคัญที่สุดที่ครอบครัว/แฟนเราจะมีคือ ความเข้าใจ (ดูเป็น Quote Club Friday ไปหน่อย แต่มันก็จริงมากๆ)
แบบฝึกหัดที่ 2 : โอนอยออกจับคู่สลับ adjective กับเพื่อน แล้วเอา adjective นั้นมาวาด Print Ads เราสลับกับของพราว ซึ่งเป็น "หอม" เราต้องหา Product ที่มันตรงประเด็นความหอม และก่อนจากกันวันนี้พี่ตะวันก็ได้ให้แต่ละคนไปเลือกงานโฆษณาที่ตัวเองชอบที่สุด กับไม่ชอบที่สุด มา 1 ตัว
เช้านี้ดูเหงาๆ พี่ๆครีเอทีฟออกไปขายงาน ออกไปประชุมกันหมดเลย เราว่างๆเลยใช้เวลาสังเกตุพี่ๆ Planner โต๊ะข้างๆว่าพี่เค้าคุยงานอะไรยังไงกันบ้าง
พอพี่ตะวันกลับมาก็ได้นั่งดูโฆษณาแต่ละตัวที่ทุกคนเลือกมา แล้วมา discuss กันว่า ตัวนี้ดียังไง ตัวนี้ไม่ดีเพราะอะไร
ช่วงบ่ายพวกเรามีโอกาสได้เข้าไปในสตูของบริษัท ได้เห็นพี่ๆกำลังถ่ายทำคอนเท้น "How to หน้าม้าแบบ ลิซ่า BLACKPINK ต้องล็อคแบบไหนถึงจะเอาอยู่??" เพื่อนำไปลง https://www.mangozero.com/
เมื่อวานนี้พี่ตะวันได้ให้การบ้านไปคิดโฆษณามาคนละ 1 ตัว โดยมีโจทย์เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อหนึ่ง คอนเซปต์คือ อร่อยง่ายใน 3 นาที และ target คือ พนักงานออฟฟิศ พวกเราแต่ละคนก็ต่างคิดโฆษณามาในแบบของตัวเอง