หากพูดถึงลำดับการบริโภคแล้ว คงหนีไม่พ้นการบริโภคของสิ่งมีชีวิตต่อกันเป็นทอด ๆ เพื่อให้ได้รับพลังงานและสารอาหารจากสิ่งมีชีวิตที่ได้บริโภคเข้าไป สิ่งเหล่านี้เรียกว่า “ห่วงโซ่อาหาร”
โดยห่วงโซ่อาหารจะประกอบไปด้วยผู้ผลิตและผู้บริโภคลำดับต่าง ๆ ซึ่งผู้ผลิตส่วนใหญ่จะเป็นพืชและเป็นจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่อาหาร จากนั้นก็จะมีสิ่งมีชีวิตหนึ่งมากินพืช จึงจะกลายเป็นผู้บริโภคลำดับที่ 1 และเมื่อมีสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นมากินผู้บริโภคลำดับที่ 1 สิ่งมีชีวิตนั้นก็จะกลายเป็นผู้บริโภคลำดับที่ 2 เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แต่หลายคนน่าจะเคยเรียงลำดับของผู้บริโภคไปเรื่อย ๆ เป็นสายยาว จนอาจจะมีลำดับผู้บริโภคมากกว่า 5 หรือ 6 ลำดับ และจบด้วยมนุษย์ที่เป็นผู้บริโภคลำดับสุดท้าย แต่ประสิทธิภาพในการถ่ายทอดพลังงานของสิ่งมีชีวิตหนึ่งไปยังอีกสิ่งมีชีวิตหนึ่งในห่วงโซ่อาหาร จะสามารถถ่ายทอดได้เพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ตามกฎ 10 เปอร์เซ็นต์ (Law of ten percent)
กฎ 10 เปอร์เซ็นต์มีใจความว่า “พลังงานศักย์ที่สะสมในรูปเนื้อเยื่อของผู้บริโภคแต่ละลำดับขั้น จะน้อยกว่าพลังงานศักย์ที่สะสมในเนื้อเยื่อผู้บริโภคลำดับขั้นต่ำกว่าที่ถัดกันลงมาประมาณ 10 เท่า” หมายความว่า จะมีพลังงานเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ที่ถูกสะสมอยู่ในพืช ส่วน 90 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือจะถูกนำไปใช้ในกระบวนการเมตาบอลิซึม ดังนั้น ผู้ที่มาบริโภคสิ่งมีชีวิตหนึ่งจะได้รับพลังงาน 10 เปอร์เซ็นต์จากสิ่งมีชีวิตนั้น ซึ่งก็คือลำดับผู้บริโภคก่อนหน้าลำดับของตน
กฎ 10 เปอร์เซ็นต์ อธิบายได้ง่าย ๆ ตัวอย่างเช่น พืชได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ 10,000 kcal จากนั้นมีตั๊กแตนมากินพืช ตั๊กแตนจะได้รับพลังงานจากพืชแค่ 1,000 kcal เมื่อมีกบมากินตั๊กแตน กบจะได้พลังงานจากตั๊กแตน 100 kcal เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ตามกฎ 10 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นหากมีผู้บริโภคลำดับสูงมาก ๆ ผู้บริโภคลำดับนั้นอาจจะไม่ได้รับพลังงานเลย
ในทางกลับกันหากเปลี่ยนพลังงานเป็นสารพิษแล้ว ผู้บริโภคลำดับสูง ๆ จะได้รับสารพิษสะสมมากกว่าผู้บริโภคลำดับล่าง ๆ เนื่องสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ตามธรรมชาติ เช่น ดีดีที ปรอท แคดเมียม เหล่านี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในกระบวนการเมตาบอลิซึมที่สร้างพลังงานให้แก่เซลล์ของสิ่งมีชีวิต แต่จะถูกสะสมอยู่ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตนั้น และเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ตามการบริโภค แล้วถ่ายทอดไปให้ผู้บริโภคตามลำดับการกิน (Biomagnification) โดยผู้บริโภคลำดับสุดท้ายจะได้รับปริมาณสารพิษมากที่สุด เช่น แพลงก์ตอนสัตว์สะสมสารพิษในร่างกายไว้ 0.05 ppm แล้วมีปลาขนาดเล็กมากินแพลงตอนสัตว์ไป 10 ตัว ปลาขนาดเล็กจะมีสารพิษสะสมในร่างกาย 0.5 ppm จากนั้นมีปลาขนาดใหญ่มากินปลาขนาดเล็กไป 10 ตัว ปลาขนาดใหญ่จะมีสารพิษสะสมในร่างกาย 5 ppm และสุดท้ายมีนกมากินปลาขนาดใหญ่ไป 3 ตัว นกจึงมีสารพิษสะสมในร่างกาย 15 ppm
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ห่วงโซ่อาหาร (Food chain) คืออะไร