ก่อนอื่นต้องบอกว่า การสอบ TOEIC นั้นแบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบแรก Listening & Reading Test ทดสอบการฟังและการอ่าน กับ แบบที่ 2 Speaking & Writing Test ทดสอบการพูดและการเขียน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเราจะนิยมไปสอบแบบแรกมากว่า คือ Listening & Reading Test เพราะเป็นผลคะแนนสอบที่องค์กร บริษัทต่าง ๆ นิยมใช้ในการยื่นสมัครงาน เนื้อหาในข้อสอบก็จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำงานในหลายรูปแบบ เช่น การอ่านอีเมล์ บันทึกข้อความ ประกาศแจ้งข่าว การนัดหมายประชุม ตารางสินค้า ใบแจ้งหนี้ ตารางเที่ยวบิน เป็นต้น
เอาละ ทีนี้ก็มาดูข้อสอบกัน ว่าเป็นแบบไหน สำหรับข้อสอบ TOEIC Listening and Reading Test จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ ก็คือ Part 1 Listening ทดสอบการฟัง มี 100 ข้อ 495 คะแนน และ Part 2 Reading ทดสอบการอ่าน มี100 ข้อ 495 คะแนน รวมเป็น 200 ข้อ คะแนนเต็ม 990 คะแนน
เป็นการฟังเสียงจาก Audio Script เมื่อฟังจบ ตอบคำถามให้ถูกต้องตามสิ่งที่ได้ฟัง ความท้าทายจะอยู่ที่บางข้อ คำถามและคำตอบจะไม่ได้เขียนลงในกระดาษข้อสอบ ต้องอาศัยฟังเพียงอย่างเดียว ดังนั้นสมาธิในการฟังและการจดโน้ตย่อไว ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยข้อสอบ Part 1 Listening จะแบ่งเป็น 4 แบบ คือ
แบบที่ 1 Photographs ในข้อสอบจะมีรูปภาพให้เลือก โดยจะเปิด Audio Script ให้ฟัง จากนั้นให้เราเลือกรูปภาพที่ตรงกับประโยคที่ได้ยิน
แบบที่ 2 Question-Response ฟังเสียงจาก Audio Script เป็นคำถามสั้น ๆ ให้เลือกคำตอบ ให้ถูกต้อง
แบบที่ 3 Conversations เป็นเสียงคน 2 คนสนทนากัน คุยกันไปมา เมื่อฟังจบ ข้อสอบจะถามคำถาม แล้วเราต้องต้องเลือกคำตอบจากบทสนทนา บางครั้งอาจมีตารางราคาสินค้าเป็นข้อมูลประกอบให้ด้วย
แบบที่ 4 Short Talks เป็นเสียงคนพูดคนเดียว อาจจะเป็นการเล่าเรื่อง การบรรยายสรุป หรือ การอธิบายอะไรบางอย่าง เช่น ประกาศจากบริษัท ข้อความจากวิทยุ ประกาศจากนายสถานี การแจ้งข่าว การพูดเปิดประชุม เมื่อฟังจบ ก็ให้เราตอบคำถามจากเนื้อเรื่องที่ได้ฟัง ระหว่างฟังเราต้องจับประเด็น โดยใช้เทคนิคจดโน้ตย่อคำที่ได้ยิน
ข้อสอบการอ่านของ TOEIC เป็นการอ่านข้อความทางธุรกิจในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น email Memo (บันทึกข้อความ) Notice (ประกาศแจ้งข่าว) หรือ Advertisement (โฆษณา) Time Table (ตารางเวลา) มีทั้งที่แบบสั้น กลาง และยาว ซึ่งตัวบทความจะมีทั้งบทความเดี่ยวและบทความคู่ ก็คือ Single passage เป็นการอ่านบทความ 1 เรื่อง แล้วตอบคำถาม ส่วน Double passages เป็นบทความที่มาคู่กับตัวอย่างเอกสารบางอย่าง เช่น ใบสั่งซื้อสินค้าคู่กับอีเมล์ที่เขียนไปถามเรื่องวันเรียกเก็บเงิน หรือตารางเที่ยวบินคู่กับอีเมล์การจองตั๋ว หรือตารางนัดประชุมคู่กับอีเมล์เปลี่ยนวันเวลา
What is the conversation mainly about?
(คำถามหาใจความหลักของเรื่อง)
What is the purpose of this email?
(คำถามหาวัตถุประสงค์ของเรื่อง)
For whom is the notice intended?
(คำถามถึงกลุ่มเป้าหมายของบทความ ว่าใครที่ต้องอ่านเรื่องนี้)
What is indicated about advertising space on noticeboard?
(คำถามแบบให้สรุปหรือตีความจากเนื้อเรื่อง)
What problem does the man mention?
(คำถามถึงรายละเอียดในเนื้อเรื่อง)
What is NOT a stated requirement for a notice to be placed on the board?
(คำถามแบบอะไรที่ไม่ใช่ หรือไม่มีในเนื้อเรื่อง)
The word “top” in paragraph 1 line 5, is closest in meaning to.
(คำถามหาคำเหมือนหรือความหมายของคำศัพท์ในบทความ)