มิวเซียมสยาม ตั้งอยู่ในเขตวังเก่า 3 แห่ง ได้แก่ วังกรมหลวงอดิศรอุดมเดช วังกรมหลวงบดินทร์ไพศาลโสภณ และวังกรมหมื่นทิวากรวงษ์ประวัติ และเป็นที่ตั้งของ ‘กระทรวงเศรษฐการ’ ซึ่งก็คือชื่อเก่าของกระทรวงพาณิชย์ ในสมัย ร.6 ก่อนที่กระทรวงพาณิชย์จะย้ายไปอยู่นนทบุรีในปัจจุบันนั่นเอง
ภายในมีจุดบริการน้ำดื่มฟรี ทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็นให้กรอกใส่กระติกได้ รวมทั้งมีพื้นที่นั่งพักอ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ด้วย
มีป้ายบอกทางและแผนที่เป็นระยะ ไม่ต้องกลัวหลงค่ะ
ดอกสาละ กำลังบานสวยมาก ๆ เลย
พิพิธภัณฑ์เปิดวันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 10.00 – 18.00 น. (หลัง 16.00 น. ไม่เก็บค่าเข้าชมด้วยนะคะ) แต่ถ้าใครมาถึงก่อน 10.00 น. ก็มานั่งชิวดื่มกาแฟที่ร้านดิโอโร่ ชั้น 1 ได้ค่ะ
หรือขึ้นไปอ่านหนังสือสบาย ๆ ที่ห้องคลังความรู้ บนชั้น 2 อาคารสำนักงานก็ได้นะคะ
สำหรับห้องคลังความรู้ หรือห้องสมุดแห่งนี้ เปิดวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.00 – 17.30 น. เข้าฟรีค่ะ
ภายในมีหนังสือและสื่อดิจิตอลด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และพิพิธภัณฑ์วิทยามากมาย แถมที่อ่านหนังสือสบายน่านั่ง บรรยากาศดีสุด ๆ เลยค่ะ
เมื่อได้เวลา 10 โมงเช้าแล้ว ก็ไปที่จุดจำหน่ายบัตรเข้าชม ซึ่งจะเก็บค่าเข้าชมในช่วง 10.00-16.00 น. โดยมีรายละเอียดต่าง ๆ กันตามเงื่อนไขและโปรโมชั่นต่าง ๆ ค่ะ
ฟรี : เด็ก (ต่ำกว่า 15 ปี), ผู้สูงอายุ (ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป), พระภิกษุ, นักบวช, ผู้พิการและทุพพลภาพ, มัคคุเทศก์
25 บาท/คน : คณะนักเรียน/นักศึกษา (ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป, กลุ่มตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป)
50 บาท/คน : คณะผู้ใหญ่ (ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป), นักเรียน/นักศึกษา (ไม่ถึง 5 คน)
100 บาท/คน : ผู้ใหญ่ (ไม่ถึง 5 คน)
*สำหรับโปรโมชั่นและส่วนลดต่าง ๆ อย่าลืมดูป้าย ถาม จนท. และแจ้งสิทธิ์ก่อนซื้อตั๋วนะคะ
ฟรี : เด็ก (ต่ำกว่า 15 ปี), ผู้สูงอายุ (ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป)
100 บาท/คน : คณะผู้ใหญ่ (ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป)
200 บาท/คน : ผู้ใหญ่ (ไม่ถึง 5 คน)
ซื้อบัตรเสร็จแล้วก็จะได้รับบัตรและเอกสารประกอบการเข้าชมค่ะ
ออกจากห้องเลี้ยวขึ้นบันไดไปชั้น 3 ก่อนเลยนะคะ แล้วค่อยเดินลงมา จะมี จนท. คอยบอกทางเป็นระยะค่ะ เริ่มตั้งแต่บันไดอันเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ซื่งเป็นบันได ‘Wall Bearing’ แบบโบราณที่นิยมในอิตาลี ซึ่งตรงชานพักบันไดไม่มีเสาเพราะใช้ผนังรับน้ำหนักแทน
ห้องแรก ‘ไทยรึเปล่า ?’ เปิดมุมมองความคิดของเราว่า อะไรคือ ‘ไทย’ กันแน่ ความเป็นไทยมีอะไรบ้าง นอกจากนี้ยังมีสื่อต่าง ๆ ที่รวบรวมความคิดเห็นของผู้คนต่าง ๆ มากมายที่มีต่อคำถามนี้
ห้องที่ 2 เต็มไปด้วยตู้ ลิ้นชัก กล่อง ทั้งบนเพดาน แต่บนพื้น ที่จริงห้องนี้ชื่อ ‘ไทยแปลไทย’ บอกเล่าเรื่องราวของพัฒนาการของความเป็นไทย ของต่าง ๆ เหล่านี้ทำไมเป็น ‘ไทย’ เกิดขี้นตั้งแต่เมื่อไร ฯลฯ
ถัดมาเป็นห้องที่ 3 ‘ไทยตั้งแต่เกิด’ เล่าเรื่องราวความเป็นไทย ในช่วง พ.ศ. 2400, 2475, 2500, 2530, 2540 และ 2550 ผ่านการแสดงแสงสีเสียงที่ของต่าง ๆ ในกล่องไม้จะผุดขึ้นมาให้ได้ชมกัน
การที่กล่องผุดตามช่วงตามกลุ่มทำให้น่าสนใจแล้วก็เข้าใจและอินกับเรื่องราวได้ง่ายขึ้นด้วยนะคะ
ส่วนห้องที่ 4 ‘ไทยสถาบัน’ เป็นห้องเกมที่ตอบโจทย์มาก ๆ เลยสำหรับคำถามที่ว่า “ทำไมธงชาติไทยมี 3 สี แล้วทำไมต้องเป็นสีเหล่านั้นด้วย” วิธีเล่นก็ไม่ยาก แค่จับลูกเต๋าที่มีภาพในหมวดเดียวกันมาวางตรงกลาง จิ๊กซอว์ก็จะถูกต่อจนทั้งแผ่นแล้วเรื่องราวความสำคัญของแต่ละสถาบันจะปรากฏขึ้นค่ะ
ส่วนห้องที่ 5 ‘ไทยอลังการ’ ก็อลังการสมชื่อตั้งแต่หน้าห้องเลยค่ะ
ในช่องตะเกียงข้างประตูมีการจัดแสดงผลงานช่างศิลป์อันวิจิตรปราณีต เช่น รัดเกล้า เครื่องประดับ กำไล โถเครื่องเคลือบเบญจรงค์จำลองลายจากเครื่องเบญจรงค์สมัยอยุธยา ลุ้งประดับมุก ฯลฯ
เมื่อเข้ามาภายในห้องจะพบกับความอลังการขั้นกว่าที่สะท้อนผ่านพระราชบัลลังก์จำลอง และเรื่องราวคติความเชื่อเรื่องเขาพระสุเมรุ และจักรวาล ที่มีความสัมพันธ์กับงานศิลปกรรมไทยมาแต่โบราณ
หลังท้องพระโรงจะเป็นห้องที่ 6 ‘ไทยแค่ไหน’ จากชุดต่าง ๆ มากมายที่หุ่นใส่จะเห็นความเป็นไทยแบบต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเราอาจมาเทียบดูกับชุดที่แต่งมาจากบ้านก็ได้ว่ามีความเป็นไทยอยู่ไหม มากน้อยแค่ไหน อะไรเป็นตัวชี้วัดได้บ้างนะ
ลงบันไดไปชั้น 2 แล้วให้เดินไปเข้าห้องกลางก่อนเลยนะคะ ตามแม่นางกวักเลยค่ะ นางกวักอยู่ไหนเข้าห้องนั้นได้เลย
ห้องนี้ชื่อ ‘ไทย Only’ ค่ะ รวบรวมเอกลักษณ์ที่พบได้ในสังคมไทยที่เราอาจคุ้นเคยกันจนเลยผ่านไป แต่เป็นสิ่งที่ผู้มาเยือนชาวต่างชาติไม่น้อยกลับ ‘ทึ่ง’ และยกนิ้วให้เลย เช่น ชุดเครื่องปรุงใส่แก้ว เครื่องดื่มถุงหิ้วผูกหนังยาง นางกวัก ฯลฯ
ห้องถัดมาคือ ‘ไทย Inter’ ในห้องมีตู้เรียงราย ให้ส่องดูที่ตู้แต่ละใบแล้วเลื่อนปุ่มที่มุมขวาล่างของตู้ จะเห็นความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ ‘ไทยเสนอ’ สิ่งที่เราคิดว่าดีเลิศชาวต่างชาติควรต้องมาดูกับ ‘เทศสนอง’ ของบ้าน ๆ ที่ชาวต่างชาติก็ประทับใจ แม้เราจะไม่ได้ลงทุนโฆษณาอะไร
ต่อมาเป็นห้องเรียน ‘ไทยวิทยา’ จำลองห้องเรียน 4 ยุค หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ. 2475), เรณู-ปัญญา (หลัง พ.ศ. 2500), ‘มานะ-มานี’ (ราว พ.ศ. 2530) และยุคคอมพิวเตอร์ (พ.ศ. 2550)
ดูเรื่องเรียนกันแล้วก็ต้องมาดูเรื่องปากท้องกันในห้อง ‘ไทยชิม’ อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่ถ่ายทอดภูมิปัญญาวัฒนธรรม และเป็นสิ่งที่มนุษย์ขาดไม่ได้ ในนี้มีจานหลายใบ แล้วก็โต๊ะตรงกลาง
เมื่อหยิบจานเปล่าจากข้างฝามาวางบนหลุมบนโต๊ะ ก็จะเห็นตั้งแต่การทำอาหารไทยเมนูต่าง ๆ และข้อมูลของอาหารนั้น ๆ อย่างในรูปล่าง ไอติมกะทีมีมาตั้งแต่สมัย ร.5 ก็นับร้อยปีมาแล้วเลยค่ะ
ส่วนในจานที่มีรูปอาหารนั้นด้านหลังมีข้อมูลน่าสนใจใส่ไว้ให้ได้พลิกมาดูกันค่ะ
นอกจากนี้ยังมีอาหารไทยที่มีชื่อชวนให้นึกถึงต่างประเทศ จนหลาย ๆ คนอาจเข้าใจผิดกันด้วยนะคะ
ถัดมาเป็นห้อง 11 ‘ไทยดีโคตร’ แสดงถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่เกิดจากการสานสัมพันธไมตรีกับแว่นแคว้นรายรอบ เรียนรู้ สั่งสมประสบการณ์ และประยุกต์จนเกิดศิลปะอันงดงามเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่อาจหาพบที่อื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นพระปรางค์ไทย กระทง อักษรไทย หรือแม้แต่เสื้อลายดอก
ถัดมาจะเป็นห้อง ‘ไทยเชื่อ’ จัดแสดงวัตถุที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อของคนไทย ไม่ว่าจะทางพุทธ พราหมณ์ หรือแม้แต่ไสยศาสตร์พื้นบ้าน (ผี) นั่นเอง
แล้วก็มาถึงห้องถัดมาเป็นห้องที่ความรู้และความสนุกอยู่ในกล่องค่ะ เหมาะกับเด็ก ๆ มาก ๆ เลยนะคะ
อย่างในกล่องประเพณีเกี่ยวกับการเกษตรกล่องนี้ เปิดออกมาเป็นข้อมูลและมีเกมให้เล่นด้วยค่ะ เกี่ยวกับพระราชพิธีพืชมงคล และคำทำนายของพระโค
กล่องด้านล่างเป็นเรื่องงานแต่งงานค่ะ
ส่วนห้องสุดท้ายเป็นสตูดิโอถ่ายภาพ ‘ไทยแชะ’ ที่ผู้เข้าชมที่พกกล้องมาจะผลัดกันเป็นช่างกล้องและนาย/นางแบบ ถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึกได้
มีชุดแบบต่าง ๆ พร้อมเครื่องประดับหมุนเวียนมาให้ยืมใส่ทับเพื่อถ่ายรูปได้ฟรีค่ะ
กลับลงมาถึงชั้นล่างแล้วสามารถเลือกหาซื้อของที่ระลึกเก๋ ๆ ติดไม้ติดมือได้ที่ร้านเล็ก ๆ ด้านหลังเคานเตอร์ขายบัตรเข้าชมค่ะ
ในช่วง 10.00 – 18.00 น. หากหิวก็แวะมารับประทานอาหารที่ร้านเอเลฟิน อีกมุมหนึ่งของสนามหญ้าด้านล่าง ซึ่งมีเมนูอาหารไทยหลากหลายให้ลิ้มลองค่ะ
ถัดออกมาจากร้านมีห้องน้ำสะอาด ๆ ไว้ให้บริการด้วยนะคะ
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอีกแห่งสำหรับช่วงปิดเทอมฤดูร้อนนี้เลยค่ะ ดูรายละเอียดอื่นและข่าวกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.museumsiam.org/index.php