*เนื้อหาในบทสัมภาษณ์นี้อ้างอิงจากทฤษฎีจิตวิทยาวิวัฒนาการ (Evolutionary Psychology)
มันบอกยากเหมือนกันนะ เพราะรู้ไปแล้วก็ไม่ได้การันตีว่าเราจะไม่มีปัญหาในเรื่องของความรักเลย รู้ก็เรื่องหนึ่ง แต่จะทำตามไหมก็อีกเรื่อง แต่ผมว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ มันทำให้เราเข้าใจตัวเอง ทำให้เราตอบตัวเองได้ว่าทำไมถึงโกรธแฟน หึงเพราะอะไร เราก็จะเย็นลงได้ แต่บางคนไม่เย็นลงก็มี เพราะรู้แล้วก็อาจจะทำตามใจตัวเองเหมือนเดิม
ผมไม่ใช่คนที่อินกับความรักนะ แต่ชอบด้านจิตวิทยาวิวัฒนาการ ซึ่งจิตวิทยาวิวัฒนาการก็จะมีพูดเรื่องความรักค่อนข้างเยอะ เสน่ห์ของจิตวิทยามันคือ ความเข้าใจมนุษย์ ที่มีพื้นฐานคล้ายกัน แต่ต่างกันที่รายละเอียด ทำไมคนนี้มีนิสัยแบบนี้ ทำไมเราหวง ทำไมเรารัก ทำไมเรานอกใจ ความสนุกของมันอยู่ที่การหาให้เจอว่าความต่างนี้มาจากพื้นฐานความจริงไหน ซึ่งพอทำมาเรื่อย ๆ ทฤษฎีมันก็เดิม ๆ เพราะทฤษฎีที่ดีจะอธิบายได้หลายเหตุการณ์ ตอนนี้ก็เริ่มไม่มีอะไรจะเล่าแล้วครับ (หัวเราะ)
มันคือทฤษฎีที่ว่า “มนุษย์ต้องจับคู่กันเพื่อสืบพันธ์ุ เลี้ยงลูก และลูกจะไม่รอด ถ้าแยกกันอยู่ ผู้หญิงจึงมีแนวโน้มที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ผู้ชายอยู่ด้วย เพราะต้องการคนช่วยเลี้ยงลูก แต่ผู้ชายถูกออกแบบมาเพื่อสืบพันธ์ุให้ได้มากที่สุด” นี่คือทฤษฎีที่ฮิตและดี ทำมา 3 ปีแล้ว ไม่ว่าคำถามจะมาแบบไหนก็ใช้ทฤษฎีนี้
เรียกว่ามีแนวโน้มมากกว่าผู้หญิง ที่ผู้ชายเจ้าชู้เพราะผู้ชายลงทุนน้อยมากในการมีลูก เเต่ผู้หญิงจะลงทุนมากกว่า ทั้งอุ้มท้อง คลอดลูก ให้นมลูก มันมีความผูกพันมากกว่า เลยทำให้ผู้หญิงมีแนวโน้มเจ้าชู้น้อยกว่าผู้ชาย
พูดแบบไม่โรแมนติกอะไรนะ ตามจิตวิทยาวิวัฒนาการเลยคือ ผู้หญิงต้องการผู้ชายเอาไว้เลี้ยงลูก เพราะลูกของมนุษย์อ่อนแอมาก อ่อนแอกว่าลูกลิง ลูกหมูที่แป๊บเดียวก็เดินได้ กินได้ ใช้ชีวิตได้เลย แต่ลูกมนุษย์ต้องใช้เวลากว่า 1 ปีเพื่อที่จะเดินได้คล่อง กินได้ และนานมากกว่าจะใช้ชีวิตได้ ผู้หญิงจึงไม่ต้องการแบ่งผู้ชายกับใครทั้งนั้น เพราะลูกอาจไม่รอด ผู้หญิงก็เลยหึงหวงครับ
มีงานวิจัยว่าผู้หญิงจะหึงผู้ชายมากที่สุดเวลาเห็นผู้ชายป้อนข้าวผู้หญิงคนอื่น มันแทงใจดำผู้หญิงมากกว่าเห็นผู้ชายไปอ่างอบนวดเลยนะ เพราะป้อนข้าวมันแปลว่า ผู้ชายของเรามีอารมณ์ที่ผูกพันกับเธอคนนั้น มันน่ากลัวกว่าอารมณ์ความใคร่ ทำให้ผู้หญิงรู้สึกว่าจะเสียผู้ชายคนนั้นไปอย่างถาวร ส่วนผู้ชายจะหึงที่สุดตอนที่รู้ว่า ผู้หญิงไปมีอะไรกับคนอื่น แค่คุย ๆ บางคนรับได้ แต่ถ้ามีอะไรกันเมื่อไหร่คือจบเกม
มีวิจัยอันหนึ่งบอกว่า การที่ผู้ชายเห็นรูปผู้หญิงอายุน้อย สาว ๆ สวย ๆ เขาอาจจะชอบคู่ชีวิตตัวเองน้อยลงได้ ไอ้การที่ชอบคนอื่นในขณะที่มีแฟนมันมาจากระบบความรักที่ทำงานแยกกันอยู่ 3 ระบบ คือ รักโรแมนติก ความใคร่ และความผูกพัน คือ เราสามารถอินเลิฟอยู่กับคนนี้ แต่มีความผูกพันกับอีกคน ไปมีอะไรกับอีกคนก็ได้ เพราะสมอง 3 ระบบนี้ทำงานแยกกันอยู่ คนเราก็ดึงดูดระหว่างกันเป็นวงจรตลอดเวลา คนที่เดินผ่านกันไปมาอาจส่งอะไรบางอย่างให้กัน มันทำให้เราปิ๊งกันก็ได้ หรือเกิดอาการเหงาก็ได้
ปกติมนุษย์ต้องอยู่กับคนที่เรารู้จัก ถ้าเราเดินผ่านคนที่ไม่รู้จัก บางคนกังวล บางคนก็เหงา ถามว่าเขาทำอะไรเราไหม เขาก็ไม่ได้ทำอะไร และถามว่าเราทำอะไรเขาไหม เราก็ไม่ได้ไปทำอะไร แต่ที่เราเหงามันเป็นไปตามธรรมชาติ เพราะเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีคนรู้จัก เราก็เลยรู้สึกเหงาเวลาต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย
มันต้องดูว่ามีคนมาจีบไหม เพราะถ้ามีคนมาจีบ สมมติฐานที่บอกว่า เราไม่ดึงดูดก็ผิดเพราะมีคนมาชอบ แต่ถ้าไม่มีคนมาจีบเลย มันก็บอกยาก ต้องมาเล่ารายละเอียด เช่น ฮอร์โมนผิดปกติ ทำให้รูปร่างเราผิดปกติไปมาก และอีกหลายเหตุผลมาก
สมองมันเปลี่ยนแปลงได้ เซลล์สมองไม่ได้มากขึ้นนะ แต่วงจรมันเปลี่ยนวิธีการทำงานตลอดเวลาตามประสบการณ์ที่เราได้รับ ทำให้วัยรุ่นกับผู้ใหญ่มีความรักที่ต่างกัน วัยรุ่นเป็นวัยที่เพิ่งมีฮอร์โมนเพศเข้ามาในชีวิต จึงทำให้อยากหาคู่ และพอเจอก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ส่วนผู้ใหญ่จะมีประสบการณ์มาแล้ว เขาจะรู้ว่าแรก ๆ จะแฮปปี้ แต่พอผ่านไปสักพักอาจจะไม่แฮปปี้แล้ว คือสมองมันพัฒนาเสมอ ประสบการณ์ที่เจอทำให้เราได้เรียนรู้
มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรามีความรู้สึกอยากหาคู่ พอเราเจอคนที่ตรงสเปค และดึงดูดกันและกัน ไอ้เซลล์สมองรักคนนี้ก็จะทำงาน และจะทำงานมากขึ้นเมื่ออีกคนตอบรับความรักของเรา สะท้อนกลับไปมาระหว่างกันเป็นวงจร ความรักมันถึงเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าอีกคนไม่ได้คิดแบบเดียวกัน เราก็จะเจ็บปวดเพราะมันทำให้รู้สึกเหมือนถูกผลักออกจากฝูง
ใช่ครับ มนุษย์ต้องอยู่รวมกันเป็นฝูง ถ้าถูกปล่อยไว้ เราจะตาย เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่อ่อนแอมากนะ เราไม่มีพลังวิเศษอะไรเลย เราไม่มีเขี้ยวเล็บ ไม่มีพละกำลัง ไม่มีพิษฉกคนตายได้เหมือนงู แต่เราชนะสัตว์อื่น ๆ ได้เพราะเราอยู่รวมกันเป็นฝูง ฉะนั้นการอยู่เป็นฝูงมันจึงสำคัญกับเรามาก เราก็เลยรู้สึกทรมานสุด ๆ เมื่อไม่ได้อยู่กับกลุ่ม หรือถูกผลักออกจากกลุ่ม มันก็ตอบได้ว่าทำไมเราถึงเจ็บปวดตอนที่โดนเท หรือเลิกกับแฟน
มันเป็นอดีตไปแล้วครับ ตอนนี้มนุษย์ไปต่อ ไม่รอแล้วนะแล้ว ทุกวันนี้ต่อให้เราไม่ได้อยู่กับฝูง เราก็อยู่ได้ เราไม่ต้องกลัวว่าจะมีเสือมาขย้ำ เราเดินไปปากซอยก็มีอาหาร เราเจริญมาก แต่เราก็ยังต้องการอยู่เป็นฝูง ต้องการใครสักคนอยู่ดี เพราะสมองของเรามันยังหลงเหลือส่วนที่เป็นคนป่าอยู่ แม้ว่าสิ่งแวดล้อมจะไม่ใช่ป่าแล้วก็ตาม ดังนั้นเราก็เลยยังเจ็บปวด ทรมาน เศร้า เสียใจ เมื่อแยกจากใครสักคนที่เรารัก
เวลานั้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์มันไม่ได้ช่วยเลยครับ ส่วนใหญ่ต้องการแค่คำปลอบใจ อกหักมันทรมานเนอะ มากกว่าคำอธิบายที่ว่า สมัยก่อนเราอยู่ในป่า เราต้องอยู่เป็นฝูง พอแยกกันอยู่เลยทรมาน เขาไม่ได้อยากฟังสิ่งนั้น และที่ผมบอกว่า อกหักมันทรมาน มันจริงครับ เพราะเวลาอกหักในทางจิตวิทยา มนุษย์ต้องการอีกคนหนึ่งที่เห็นเขา คนที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขากลับไปเข้าฝูงเหมือนเดิมได้อีกครั้ง พูดแบบให้เข้าใจง่าย ๆ เลยคือ แกจะเป็นเพื่อนกับฉันไหม แค่นี้เลย
ผมบอกได้แค่ว่า มันถูกต้องแล้วที่จะเสียใจ ไอ้ที่ทรมานกันอยู่คือ ไม่ยอมรับมากกว่าว่าเสียใจ เพราะมันทำให้เรายิ่งคิดถึง ทำให้สมองสร้างความคิดถึงไปเรื่อย ๆ เพราะเราไปต่อต้านว่าเราไม่เสียใจ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ยอมรับได้ว่า มันต้องเป็นเช่นนั้น โอเค เรายังรักเขาอยู่ และเสียใจนะที่ต้องเลิกกัน ซึ่งบางครั้งเราอาจจะต้องยอมรับว่า เราอาจจะไม่ลืมเขาเลยไปตลอดชีวิต
มนุษย์ถูกสร้างมาให้เรียนรู้และปรับตัว มันอยู่ในสมองของเราครับ เราเก่งในเรื่องการปรับตัวที่สุด ที่เรามาอยู่ประเทศไทยได้ ก็มาจากการที่มนุษย์ชอบเรียนรู้ ปรับตัว เราจะไปจากแอฟริกาได้ยังไงนะ แล้วที่อื่นจะมีของกินอร่อยมากกว่าที่เราอยู่ไหม นี่คือความสามารถของมนุษย์ที่มันพิเศษกว่าสัตว์อื่นมาก ๆ ความรักก็เช่นกัน จบไปแล้วเราก็ปรับตัวใหม่ ความรักมันไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา เรารักใครสักคนเพราะว่า เราเลือกที่จะรัก และเราก็ต้องเลือกต่อ ๆ ไป
เรื่อง : วัลญา นิ่มนวลศรี
ภาพ : เขมจิรา เกียรติสุรนนท์