ต้องบอกก่อนว่า อาชีพหมอเป็นอาชีพที่เหมือนสวมหัวโขน เจอเราข้างนอกกับเจอที่คลินิก เราจะเป็นคนละคนเลยนะ อย่างเวลาทำงานเราต้องถือไพ่เหนือกว่าคนไข้ให้ได้ บางครั้งเราใส่แมสปิดปากเพื่อคนไข้จะได้อ่านปากไม่ได้ หรือเรามีปัญหากับการที่เราหน้าเด็ก คนไข้ไม่ค่อยฟัง เราก็แก้ปัญหาด้วยการใส่เเว่น พยายามที่จะใช้ศัพท์วิชาการให้เยอะ สมมติคุยกับคนที่โตแล้ว คุณแอมเบียนครับ หมอมีตัวเลือกให้เลือก 1 2 3 4 จะเลือกทางไหนดีครับ นี่คือวิธีคุยกับคนที่โต แต่ถ้าคนไข้เดินเข้ามาแล้วพูดว่า หมออยากลดความอ้วนทำไงดี เราก็จะตอบกลับว่า หมอก็ยังลดไม่ได้เลย นี่คือเราคุยกับคนไข้อีกแบบ แต่เราก็เคยมีช่วงที่ไม่อยากเป็นหมอแล้วลาออก เพราะคิดว่ามันไม่ได้เป็นตัวเองเหมือนกัน
มีอยู่ช่วงหนึ่งเราทำงานเป็นหมอผิวหนังอยู่ 3 ปี เราบอกที่บ้านว่าอยากลาออก อยากไปขายเครื่องเขียน อยากไปทำหนังสือทำมือขาย เพราะคิดว่านั่นคือตัวเรามากกว่า แต่พอไปทำจริง ๆ มันไม่ได้สวยงามอย่างที่เราคิดไว้ คือเอาเงินจากการขายของมานั่งนับดู มันเท่ากับเราเข้าคลินิก 2 วัน แต่เราทำ 30 วัน ก็เลยกลับไปเป็นหมอใหม่ แต่ปรับเปลี่ยนวิธีทำงาน จากที่เคยทำงาน 6 วัน ก็ลดเหลือ 4 วัน แล้วเอาเวลาที่เหลือไปทำอะไรที่อยากทำ เรายอมเสียรายได้บางส่วนเพื่อแลกกับชีวิตที่เราอยากใช้
เราต้องแยกระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวให้ออก เราไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเอง 100% ในอาชีพที่ทำ ใครที่ได้ทำอาชีพที่เป็นตัวเองสุด ๆ นั่นคือคุณโชคดีมาก แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นตัวเองในอาชีพที่ทำมันก็ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องของการรู้จักเลือกใช้บุคลิกภาพ คือเราถูกสอนกันมาตั้งแต่เรียนว่าเวลาที่อยู่โรงเรียน เราเป็นนักเรียนก็ต้องเรียน พอมาอยู่ที่ทำงานสุดท้ายแล้วมันก็คือการทำงาน งานคือสิ่งที่เขาจะให้เงินเรา อะไรที่เราได้เงินจากเขา ก็คือมันไม่ได้มาฟรี ๆ
เราพบว่า ใครที่เข้าใจเรื่องบุคลิกภาพนอกจากจะส่งผลเรื่อง First Impression แล้ว ลึก ๆ คนที่รู้เรื่องพวกนี้มักจะมีความเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่แค่ว่า หล่อ สวย หุ่นดี แต่คือคนที่วางตัวต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี เรารู้สึกว่าเขาโต เขาเอาอยู่ไม่ว่าจะเจอคนประเภทไหนก็จะทำตัวด้วยถูก เจอคนที่ไม่ชอบก็อยู่ได้ ไม่กรอกตาใส่ พอโตขึ้นเราจะรู้ว่าโลกไม่ได้สวยงาม เราต้องลดความเป็นตัวเอง และรู้จักปรับบุคลิกที่เราก็อาจไม่ชอบหรอก แต่เพื่อให้มันเข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเรามองว่าคนที่รู้เรื่องบุคลิกภาพที่ดีตั้งแต่เด็ก โตไปเขาจะมีความ Professional ในการทำงาน
เคยคิดนะว่าทำไมเราต้องแสร้งทำในบางโอกาส พนักงานในห้างยิ้มได้ยังไงตลอดเวลา ลึก ๆ เรารู้ว่าเขาไม่ได้อยากยิ้มหรอก แต่เขาต้องทำเพราะมันเป็นงาน เราพบว่าจริง ๆ แล้ว มันไม่ใช่ความเฟคถ้ามันถูกสถานการณ์ ถ้าเราตอบตัวเองได้ว่าเราทำแบบนั้นเพื่ออะไร นั่นคือเราไม่ได้เฟค หรือแม้คนอื่นจะมองว่าเราปลอม แล้วยังไง เพราะเรารู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ เราตอบตัวเองได้
เราให้น้ำหนักกับภายในมากกว่า ภายนอกมันได้เรื่องความประทับใจ ใคร ๆ ก็อยากเข้าหาเพราะดูดี แต่บุคลิกภายในจะทำให้คนอื่นอยากรักษาเราไว้ในชีวิต ความไว้วางใจ ความสบายใจ ซึ่งบุคลิกภายนอกทำไม่ได้ แต่ด้วยสังคมที่เราอยู่ เราก็ได้แต่กลืนน้ำลาย แล้วบอกกับตัวเองว่า ยังไงก็ต้องโอเคเพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม สังคมไทยเราเป็นแบบนี้ เราให้น้ำหนักที่บุคลิกภายนอก แถมยังไปตัดสินบุคลิกภายในของคนอื่นจากบุคลิกภายนอกของเขาก็มี
ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเหมือนสิ่งที่เขาโพสต์ลงโซเชียล เดี๋ยวนี้ใครที่เสพสื่อไม่เป็นมีแนวโน้มจะรู้สึกไม่มีคุณค่า มันเกิดจากการที่เราว่างเกิน เเละพอเรามาไถหน้าจอ ทุกคนลงแต่เรื่องชีวิตดี ๆ ของตัวเอง มันคือการ random ช่วงเวลาที่ทุกคนมีคุณค่ามาก ๆ มารวมกัน ในขณะที่เราไม่ได้ทำอะไร ทุกคนเลยดู successful ไปหมด มันเป็นกระสุนมาทิ่มตัวเองว่าเราไม่ได้มีดีอะไร ทั้งที่จริงคนที่โพสต์โน้นนี่ พอได้มานั่งคุยกัน เราก็จะพบว่าทุกคนมีความทุกข์ บางคนเลือกที่จะโพสต์อะไรดี ๆ เพื่อปกป้องใจตัวเอง
เราว่าการที่คนคนหนึ่งกล้ายอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตต่อหน้าคนอื่นมันจะ smart กว่าการที่เราไปซุกซ่อนมันไว้ใต้พรม เพราะถ้าเรายังไม่กล้ายอมรับอดีต เราคงจบตรงนั้นแหละ ไปต่อไม่ไหวหรอก ถ้าเราไปถึงจุดนั้นได้ นั่นคือเราไม่รู้สึกอะไรกับอดีตแล้ว เราอยู่กับปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น
ทุกวันนี้ตั้งแต่เปิดตัวว่าเป็นเพศที่สาม ชีวิตเราก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย ดีขึ้นด้วยซ้ำ สังคมก็เหมือนเดิม การงานเหมือนเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิม เวลาเราอยู่ต่อหน้าคนไข้ก็ทำหน้าที่ของเราให้มันสมบูรณ์แบบที่สุด ให้ความช่วยเหลือเขาเต็มที่ โอเค คนไข้บางคนอาจจะรู้ว่าเราเป็นเกย์ แต่ในเมื่อเราทำให้เขาสวย หล่อ ดูดี หน้าไม่เบี้ยว ทุกอย่างจบ สุดท้ายมันก็จบที่คำว่า ทำหน้าที่ของเราให้ดี เรื่องเพศมันไม่เกี่ยว ถ้าเรารักษาดีมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะหมดความเชื่อมั่นในตัวเรา
ตอนแรกก็ไม่กล้าบอกที่บ้านนะว่าเราเป็น เเต่เพราะต้องไปเรียนแอคติ้งเพื่อเรียนรู้สกิลการออกหน้ากล้องไม่ให้ตัวเองเกร็ง เราถึงได้รู้ว่าอุปสรรคที่ทำให้ไม่เป็นตัวเองต่อหน้ากล้องคือ เราป้องกันตัวเองไม่ให้ที่บ้านหรือญาติรู้ว่าเป็นเพศที่สาม มันเลยแสดงออกออกมาไม่เป็นธรรมชาติ ครูที่สอนเขาก็ให้การบ้านมาว่า เราต้องไปแก้ปัญหานี้ให้ได้ก่อน ซึ่งครูเขาพูดถูกทุกอย่าง ปรากฏว่าเย็นวันนั้นเราก็ไปบอกพ่อ เตรียมพวงมาลัยไปกราบด้วยนะ เล่นใหญ่มาก แต่พ่อบอกว่า ไม่ต้องกราบ ไม่ต้องอะไร หยุด พ่อรู้นานแล้วก็รอให้มาบอก ความรู้สึกมันเหมือนหนังโดนคัท จากที่คิดว่าพ่อต้องโกรธเป็นเดือน แต่ทุกอย่างจบภายใน 30 นาที
เราไม่มีคำตอบให้เลยว่าจะบอกตอนไหน เราคิดว่าเมื่อถึงเวลาที่มันจะบอกเอง มันจะมีจุดพีคของชีวิตเองในแต่ละเรื่อง วันใดวันหนึ่งที่เราไม่ไหวแล้ว มันจะถูกปลดปล่อยออกไปเอง เราเคยคิดว่าจะบอกที่บ้านตอนอายุ 35 แต่กลายเป็นว่า 27 เราบอกเรียบร้อย แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือ พอที่บ้านรับได้ เราไม่กลัวญาติเลย สุดท้ายครอบครัวสำคัญที่สุด
การได้เป็นตัวของตัวเองและรักตัวเอง ถ้าเรารักตัวเองได้จริง ๆ นะ มันพอแล้ว เรามีความสุขที่ตอนเช้าได้ไปออกกำลังกาย ไปหาอะไรกิน มีความสุขกับการทำงานให้หนักแล้วไปใช้เงินสุด ๆ พอเรามีความสุขกับตัวเอง มันจะทำให้ชีวิตเราไหลลื่นไปอย่างมีความสุข
เราบอกใครให้รักตัวเองไม่ได้ ยิ่งเป็นวัยรุ่นมันยิ่งยังไม่ค่อยเข้าใจ เพราะสิ่งที่เด็กได้รับ คือความรักจากคนอื่นมาโดยตลอด โลกตอนนั้นมีแค่พ่อแม่ที่คอยซับพอร์ต รักเรามาตลอดตั้งแต่เกิด เราเลยไม่ต้องรักตัวเองมากเท่าไหร่ รักตัวเองคืออะไร ยังไม่เข้าใจหรอก แต่พอวันหนึ่งที่เราออกมาเจอสังคม คนที่ไม่ใช่คนในครอบครัว คนที่ไม่หวังดี เจอคนที่เกลียดเรา นั่นคือช่วงที่เราจะได้เรียนรู้การรักตัวเองอย่างแท้จริง
เมื่อก่อนเราเคยเป็นคนที่ทำดีให้คนอื่นโดยที่ไม่คิดอะไรมาก เพราะเราคิดว่าการทำดีกับคนที่เกลียดเรา หรือไม่ชอบเรา ไม่ได้แปลว่าอยากให้เขารักเราตอบ ที่ทำดีกับเขาเพราะเราเป็นคนดี แต่หลังจากที่เราอกหักแรงมาก มันทำให้เราสร้างกำแพงปกป้องตัวเองขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าหลังจากที่โดนหักอกแล้วเราจะสยายปีกเป็นมาเลฟิเซนต์ นางฟ้าปีศาจ ยี๋ความรักไปเลยก็ไม่ใช่ เราพบว่า อย่างน้อย ๆ เราควรตั้งรับกับชีวิตไว้บ้าง อย่าเรื่อย ๆ เพราะชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย
เรื่อง : วัลญา นิ่มนวลศรี
ภาพ : ประวีร์ จันทร์ส่งเสริม