หลวงปู่หล้า เขมปัตฺโต เป็นสุปฏิปันโน ผู้สืบทอดปฏิปทา ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
เป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด มีศีลาจาริวัตรอันงดงามน่าเลื่อมใส มีความสามารถในการแสดงธรรมอบรมได้ลึกซึ้งจับใจ เป็นดั่งประทีปธรรมแห่งลุ่มแม่น้ำโขง
หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต (บัณฑิโต) พระวิปัสสนาจารย์กรรมฐาน ศิษย์สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตเช่นกัน
ท่านได้ชื่อว่า เป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีจริยวัตรมีปฏิปทาอันน่าเคารพศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่งอีกรูปหนึ่ง
“เมื่อได้เห็นสังขารว่าไม่เที่ยง เป็น ทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อนั้นย่อมหน่ายในทุกข์ นั้นแหละทางแห่งวิสุทธิ นั้นแหละ ทางแห่ง ศีล สมาธิ และปัญญาวิสุทธิ กลมกลืนกันอยู่”
“เมื่อไม่เอาปัจจุบันเป็นพยาน ฉะไหนจะสิ้นความสงสัยของตนได้”
“เห็นอนิจจังขณะจิตเดียว เห็นโลกทั้งโลกแล้ว เพราะโลกเต็มไปด้วยอนิจจัง”
“ผู้รู้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เร็วที่สุด จิตก็เหมือนกัน ติดต่อกันอยู่ หาระหว่างไม่ได้ ใครว่าจิต ไม่เกิด ไม่ดับ ผู้นั้นเป็น มิจฉาทิฏฐิ เหตุฉะนั้นท่านจึงบัญบัติว่า รูป จิต เจตสิก นิพพาน ไม่ได้บัญญัติว่า จิตเป็นพระนิพพาน ไม่ได้บัญญัติว่าพระนิพพาน เป็นจิต”
“เพราะอยู่เหนือจิต อยู่เหนือสังขารแล้ว ไม่สำคัญว่าจิตเป็นตน ตนเป็นจิต ก็ไม่ลำบากในจิต ไม่สำคัญว่าทุกข์ เป็นตน ตนเป็นทุกข์ ก็ไม่ลำบากในทุกข์ สิ่งไหนถ้ามีตนเข้าไปสอดแทรก สิ่งนั้นก็มีเรื่องมาก ถ้าเข้าไปสำคัญสอดแทรกว่าตัวกู ของกูก็ต้องตามไปด้วย เมื่อของกูตามไปด้วย ที่นี้ของมึงก็ตามมาด้วย แล้วก็เกิดทะเลาะกัน ถูกไหม๊?”
“จะมาหาพระอรหันต์ในสกณร่างกาย มันก็ไม่เจอ ไม่เจอะ ไม่พบ จะมาหาพระอรหันต์ในขันธ์ 5 มันก็ไม่เจอ ไม่เจอะ ไม่พบ จะมาหาพระอรหันต์ในบุคคล มันก็ไม่เจอ ไม่เจอะ ไม่พบ”
“ตัวสติแท้ๆ มันเกิดไว ไม่ทันรู้ตัวหรอก แปล๊ปอย่างกะไฟฟ้า ทีเดียวมันก็ทำลายโมหะหมดแล้ว มากน้อย มันไม่ทันรู้ตัว มันเกิดหนเดียวแล้วก็ดับไป ไอ้ตัวที่เป็นมรรคแท้ๆ มันเกิดไม่ทันรู้ตัว มันแว๊ปเดียวไม่ถึงวินาที มันไม่มีถามตอบอะไร แปล๊บเดียว เหมือนมือจิ้มไฟ ก็ร้อนเลย ไ้อ้สติที่ว่าเดินเหินข้างนอก มันเอาไว้ใช้ในทางโลกเท่านั้นเอง”
“ถ้าไม่มีทุกข์ ก็ไม่ต้องปฏิบัติออกจากทุกข์ มันมีทุกข์ จึงปฏิบัติออกจากทุกข์ เราหนีทุกข์ หรือให้ทุกข์หนีจากเรา เรารู้เท่าทุกข์ ทุกข์ก็หนีเอง ถ้าเราไม่รู้เท่าทุกข์ ทุกข์ก็ไม่หนี”