วันไนท์มิราเคิลมันเสี่ยงยิ่งกว่าหวยอีกนะคะ เพราะการอ่านหนังสือมันคือ การค่อย ๆ อ่าน แต่เด็กรุ่นใหม่จะชอบมีค่านิยมไม่เรียนในห้องแล้วไปติวเพื่อสอบ แต่เราคิดว่ามันเป็นไอเดียที่ผิดพลาดไปหน่อย เพราะถ้าเราทบทวนหนังสือเรียนเรื่อย ๆ วันละ 3-4 หน้าทุกวัน ตอนสอบเราอาจจะไม่ต้องอ่านเลยก็ได้ ถ้าเราเข้าใจมันมานานมันจะเป็นความทรงจำที่ไม่ลืม แต่การรีบ ๆ อ่านมันคือการจำเพื่อไปสอบ ใช้เสร็จก็จะลืม เรารู้สึกว่ามันน่าเสียดายเพราะการเติบโตเป็นผู้ใหญ่หลาย ๆ ครั้งเราต้องเดินผ่านสิ่งที่เราเคยอ่าน เคยเห็นในหนังสือมาก่อน แต่เรากลับจำมันไม่ได้แล้ว มันน่าเศร้านะ
เป็นค่านิยมที่ผิดมากกว่า หลายคนอาจจะบอกว่าถ้าไม่เตรียมตัวแล้วได้คะแนนเยอะมันจะรู้สึกฟินมากกว่า แต่คำถามก็คือ ถ้าเราไม่ได้ล่ะ ถ้ามันแย่ล่ะ จะเป็นยังไง อย่างน้อยการเตรียมตัวก็จะช่วยให้เราบาดเจ็บไม่มาก
เราว่ามันสำคัญในแง่ที่ว่า ถ้าเกิดมันพลาดขึ้นมา คนที่เตรียมตัวมาดีเขาจะหาทางแก้ไขสิ่งที่ทำพลาดได้เร็ว สติจะไม่แตกเท่าไหร่ แต่ถ้าเราไม่เตรียมตัวเลย เเล้วเกิดทำพลาด ก็จะไม่รู้ว่าจะเอายังไงต่อดี หรือไม่ก็งงนานหน่อย จะไม่เหมือนกับคนที่เตรียมตัวมา เขาจะรู้ว่าถ้าพลาดตรงนี้ไป มันยังมีวิธีที่ 2 3 4 รออยู่นะ ให้คิดง่าย ๆ ว่า การออกไปข้างนอกในวันที่ฝนตก ถ้าเรามีร่มก็จะไม่เปียก แต่ถ้าไม่มีร่มก็จะเปียก
มันไม่เหมือนกันนะ ถ้าไปแคสบท เราจะไม่เตรียมตัวมาก เพราะเราคิดว่ามันคล้าย ๆ การไปสัมภาษณ์เข้าทำงาน บางครั้งเราเตรียมตัวไปหนักมาก ๆ แล้วมันกลายเป็นว่า เราไปปิดกั้นเสน่ห์บางอย่างของตัวเอง เพราะเราเตรียมพร้อมไปหมด เขาถามมาแบบนี้ เราจะตอบแบบนี้ มันเป๊ะไป ในขณะที่หลาย ๆ ครั้งการเป็นตัวของตัวเอง มันทำให้คนอื่นเห็นว่าเรามีเสน่ห์ตรงไหนบ้างโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ มันทำให้คนอื่นมองเห็นตัวเรา และทำให้คนอื่นชอบเรา หรือเข้าถึงเราได้มากกว่าการที่เราเตรียมตัวไปทุกอย่าง ทุกขั้นตอน ดังนั้นเวลาที่จะไปแคสบท เราจะลองใช้ความรู้สึกตรงนั้นเล่นดูว่า มันใช่บทของเราจริง ๆ หรือเปล่า
การเตรียมพร้อมมากไปก็อาจจะไม่ได้เหมาะกับบางเรื่อง แต่สำหรับการเตรียมพร้อมเรื่องสอบเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้อยู่แล้ว มันจำเป็น เพราะยิ่งเตรียมเยอะ ความผิดพลาดยิ่งน้อย แต่สำหรับการไปแคสบทมันอาจจะต้องเตรียมแต่ไม่ได้เข้มข้นเท่าการสอบ ก็อย่างที่บอกว่ามันอาจจะไปปิดกั้นเสน่ห์บางอย่างของเรา และการเตรียมพร้อมในการไปแคสบทไม่ได้การันตีว่าเราจะได้บทนั้น 100% บางคนเตรียมตัวเป็นปีก็ไม่เหมาะกับบทก็มี แต่ในทางกลับกัน บางคนไม่ได้เตรียมตัวเลยค่ะ เป็นใครก็ไม่รู้ เดินหลงทางเข้าไปแล้วได้บทไปเล่นเลยก็มี คิทมองว่า มันเหมือนพรหมลิขิตบางอย่างที่ทำให้คนเราไปเป็นใครอีกคนได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นคนคนนั้นได้
เตรียมใจไว้เลยว่าพื้นที่ส่วนตัวของเราจะถูกรุกล้ำโดยคนภายนอก และเราจะล้อมกรอบพื้นที่ส่วนตัวของเรายังไงให้ปลอดภัย อย่างพื้นที่ส่วนตัวของเราคือคุณพ่อและคุณแม่ เพราะคุณพ่อคุณแม่ของเราพูดตั้งแต่ตอนแรกที่เราเข้าไปทำงานในวงการบันเทิงแล้วว่า ไม่ใช่ทุกคนที่อยากอยู่ในวงการบันเทิงนะ ดังนั้นเราจะล้อมกรอบพวกท่านไว้ให้แน่นหนา ซึ่งบางที การที่เราไม่โพสต์รูปพ่อแม่ลงโซเชียล มันไม่ได้แปลว่าเราไม่รักท่านหรือท่านไม่รักเรา เเต่เรากำลังให้เกียรติพื้นที่ส่วนตัวพวกท่านอยู่
เราเลือกรับโอกาสที่มันเหมาะกับเรา ไม่ใช่ทุกโอกาสที่เข้ามา
ที่ปรึกษาบทภาพยนตร์และผู้กำกับ มันเป็นงานที่เราชอบ ซึ่งเริ่มมาจากงานอดิเรกเพราะเราชอบดูหนัง ชอบแต่งเรื่องให้กับคนที่เราบังเอิญเจอ เช่น นั่งอยู่บนรถไฟฟ้ามองเห็นคนคนหนึ่ง เราก็จะดูจากลักษณะเขาแล้วคิดว่าเขาน่าจะทำงานอะไร ความสนุกมันเริ่มจากตรงนั้น ส่วนงานแสดงเราก็ชอบเพราะมันให้ความรู้สึกว่าเรากำลังพักร้อน คือเราได้หนีจากชีวิตจริง ๆ สักพักอย่างเช่น เราเหนื่อยกับการเป็นตัวเองจังแต่วันนี้จะได้ไปเล่นเป็นคุณหนูไฮโซสักพัก หรือพรุ่งนี้ไปเป็นแม่ค้าปากตลาดสักพัก ซึ่งเราทุกคนชอบพักร้อนอยู่แล้ว
มันเริ่มมาจากการที่เราชอบดูหนังตั้งแต่เด็ก เราชอบหนังดาร์ก มันเลยทำให้ความคิดเราค่อนข้างแก่แดด ที่บ้านก็เลี้ยงเรามาแบบผู้ใหญ่คนหนึ่งตั้งแต่เด็ก เขาไม่เคยห้ามถ้าเราอยากจะทำอะไร ให้อิสระ แต่เราจะได้อิสระก็ต่อเมื่อเรารักษากติกา ดังนั้นเราอาจจะโชคดีที่เข้าใจมันตั้งแต่แรก แต่เราไม่ได้อยากรีบ ไม่ใช่ว่าโอกาสเข้ามาก็รีบคว้า เราอยากเตรียมพร้อมให้แน่ใจก่อนว่า เราพร้อมที่จะนั่งเก้าอี้ตัวนั้น พร้อมที่จะมีคนมาฟังคำสั่งเรา เราคุมทั้งกองถ่ายได้จริง ๆ
ตอนเด็กเราอยากเป็นหมอผ่าตัดสมอง มันเริ่มมาจากการที่เรามีพี่ที่เรียนสายวิทย์ อายุห่างกันค่อนข้างเยอะ เราก็จะได้หนังสือเขา อย่างหนังสือ Anatomy ตอนนั้นเราสนใจมากเพราะมันดูเจ๋งมาก เรารู้สึกว่าการเป็นหมอมันน่าสนุกจัง เป็นอาชีพที่ท้าทาย และเราไม่กลัวเลือด แต่พอโตขึ้นก็มีคนพูดกับเราว่า เราไม่เหมาะกับการเป็นหมอหรอก เพราะเราไม่ใช่เด็กดี เราหลับในห้อง เหยียบส้นรองเท้า เราถูกบังคับให้ต้องบิดไปเดินเส้นทางอื่นโดยปริยาย บางครั้งเราก็คิดว่าถ้ามันมีโลกอีกหนึ่งใบที่ตัวเราอีกคนใช้ชีวิตอยู่ เราคนนั้นอาจจะเป็นหมอที่ผ่านตัดสมองจริงจังกับมันและรักในอาชีพนั้นก็ได้
เราคิดว่าทุกคนมีแพชชั่นหมด ทุกคนเกิดมามีสิ่งที่ชอบและสนใจเป็นพิเศษทุกคน แต่การเติบโต การต้องใช้ชีวิตในสังคม ทำให้เราลืมมันไปมากกว่า เหมือนอย่างตัวเราเอง เราก็มีโมเมนต์ที่อยากเรียนหมอ แต่พอมีคนมาพูดกับเราว่า เป็นเด็กหลังห้องนิสัยไม่ดีจะเป็นหมอได้ยังไง พอโตขึ้นเราก็คิดได้ว่า มันไม่เกี่ยวเลยว่านิสัยเราจะเป็นหมอไม่ได้ บางครั้งพฤติกรรมในโรงเรียนไม่สามารถตัดสินได้หรอกว่าเขาจะเป็นคนยังไงไปทั้งชีวิต มันเป็นไปไม่ได้
มันโหดร้ายมาก เมื่อนานมาแล้ว เด็ก ๆ มีความสามารถที่จะมุ่งมั่นและตั้งใจทำสิ่งที่เขาชอบได้เลย แต่เดี๋ยวนี้เหมือนระบบต่าง ๆ มันไม่ได้ส่งเสริมให้เด็กทำแบบนั้นได้ และตัดโอกาสเด็กบางคนไปด้วยซ้ำ ทำให้น้อง ๆ ขาดความกล้าที่จะแตกต่าง อย่างที่เราเห็นว่าน้องๆ หลายคนไม่มีที่เรียน เพราะน้อง ๆ ที่คะแนนสูงมากมาทำให้ตัวค่ากลางขึ้น ทำให้หลายคนที่คะแนนไม่ถึงหมดโอกาสที่จะเรียนในสิ่งที่เขาอยากจริง ๆ ทั้งที่เขาอาจจะเรียนได้ดีเมื่อได้เข้าไป บ้านเราเองก็จะได้มีทรัพยากรมนุษย์ที่เก่งและดีด้วย เพราะเขารักอยากจะทำในอาชีพนั้นจริง ๆ
เรารู้สึกว่าไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะไปบอกว่าใครเป็นอะไรได้หรือไม่ได้จากพฤติกรรมของเขาในโรงเรียน หรือไปตัดโอกาสเด็กจากจุดเล็ก ๆ ของเขา อย่างถ้าเราเป็นหมอ เราอาจจะเป็นหมอที่รักคนไข้มากคนหนึ่งก็ได้ การไปฟันธงว่าเด็กเรียนเก่งไปเรียนหมอ หรือเด็กเรียนไม่เก่งก็ไปเรียนศิลปะซิ มันไม่เวิร์ก คนเก่งก็เรียนศิลปะได้
ชีวิตของคนเรามันไม่มีกติกาตายตัวหรอกค่ะว่าเราจะเริ่มทำอะไร เราจะเป็นอะไร ในช่วงเวลาที่เท่าไหร่ บางคนอาจจะเริ่มช้า บางคนอาจจะเริ่มเร็ว แต่สุดท้ายทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้ในแบบของตัวเอง คนเราล้มได้แต่ต้องยืนหยัดต่อสิ่งที่ตัวเองรัก ใช้มันเป็นแรงผลักดันเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาเลือกมามันเป็นการตัดสินใจที่ถูก ใครจะดูถูกก็ช่างเขา เขาดูถูกอาจเป็นเพราะว่าครั้งหนึ่งเขาก็เคยโดน เราไม่สามารถลบคำพูดของคนอื่นได้ด้วยคำพูด แต่เราสามารถลบมันได้ด้วยการกระทำ เรียนรู้จากความผิดพลาด เหตุผลที่เราล้มเพราะอะไร เตรียมตัวมาแต่ยังไม่ได้ ก็ลองใหม่ ถ้าจะยอมแพ้ก็ขอแค่ทำให้เต็มที่ก่อน
ฟังตัวเองให้มาก เวลาเข้าไปสอบเพื่อนไม่ได้เข้าไปกับเรานะ เราเข้าไปคนเดียว พอโตขึ้นมาหน่อยเมื่อถึงเวลาที่จะต้องซื้อบ้าน ซื้อรถ แต่งงานมีครอบครัว เพื่อนก็จะแค่อยู่ยินดีกับเราเฉย ๆ แต่ทุกอย่างเราต้องเผชิญเอง เราคิดว่า ณ จุดหนึ่งที่เราต้องทำอะไรสักอย่างที่สำคัญที่สุดในชีวิต เราต้องรักในความเป็นตัวเองมากขึ้น
เรื่อง : วัลญา นิ่มนวลศรี
ภาพ : ประวีร์ จันทร์ส่งเสริม