สวัสดีค่า เราชื่อปาล์มมี่นะ ตอนนี้อยู่ม.4 เราได้มีโอกาสมาฝึกงานกับโครงการนี้ ตื่นเต้นมากเลย ก่อนอื่นสำหรับคนที่งง ๆ นะคะ ขอแนะนำสักนิดก่อนว่า โครงการทำก่อนฝัน หรือ Dream Explorers เนี่ย เป็นโครงการของทรูปลูกปัญญา ที่เปิดโอกาสให้เด็กม.ปลายทั่วประเทศ ได้มีโอกาสฝึกและเรียนรู้งานในอาชีพที่ตัวเองสนใจ แต่สำหรับคนที่ยังไม่แน่ชัดหรือแน่วแน่ในอนาคตของตัวเอง ไม่ต้องกลัว เราอยากให้เปิดโอกาสให้ตัวเองนะ เพราะเราก็ยังไม่ได้มีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนมาก ๆ แต่เรามีความสุขในการถ่ายภาพ เราเลยลองหาโอกาสให้ตัวเอง และผลลัพธ์ก็คือ เราผ่านการคัดเลือกและได้มาฝึกงานเป็นที่เรียบร้อยแล้วว
เกริ่นก่อนนิดนึงนะ ก่อนหน้านี้ เราคิดว่า ช่างภาพ คือคนที่ถ่ายรูปให้ลูกค้าตามต้องการ แต่เราได้มาฝึกงานที่ บริษัทวิริยะธุรกิจ ไม่รู้จักกันใช่มั้ยละ แต่เราว่าทุกคนน่าจะเคยเห็น นิยสารสารคดี ตามร้านหนังมาบ้างนะ นั่นแหละ คือที่นี่ และเนื่องจากที่นี่เป็นการทำนิตยสารสารคดี เราก็ได้เปิดมุมมองของช่างภาพในอีกมุมมองนึง ว่าเอ้อ มันไม่ต้องมีมุมฮิปนะ มันไม่ต้องหาจุดสแว๊กนะ แต่สิ่งที่เจ๋งที่สุด คือความเท่ที่มันพุ่งออกมาผ่านความเรียลนั่นเอง เพราะฉะนั้น ช่างภาพมีหน้าที่เก็บภาพและมุมมองที่คนอื่นมองข้าม ไปเผยแพร่ต่อ และถ่ายทอดออกไปให้คนได้จดจำ ผ่านความจริงที่จริงที่สุด
วันแรกของการฝึกงานรู้สึกตื่นเต้นมาก เค้านัด 9 โมง แต่เราไป 7 โมงครึ่ง5555 ที่บริษัทวิริยะธุรกิจ มีนักเรียนมาฝึกงานในโครงการนี้ทั้งหมด 4 คนด้วยกัน ประกอบด้วย ช่างภาพ 2 คน และบรรณาธิการ 2 คน เรมีได้มีการคุยกันแล้วเมื่อวันที่ 1 ต.ค.61 ที่ทรูปลูกปัญญาได้จัด Workshop ให้พวกเราได้พูดคุยทำความรู้จักและมองหาเป้าหมายและความฝันในชีวิตตัวเอง ช่วงเช้า " พี่จ๋า " เลฃาบรรณาธิการของบริษัทที่รับหน้าที่ดูแลรับเรื่องการฝึกงานของพวกเราตลอด 4 วัน ได้พาพวกเราไปแนะนำให้พี่ ๆ คนอื่นในบริษัทได้รู้จักกัน เป็นเวลาประมาณหนึ่ง และก็ได้เล่าเรื่องราวความเป็นมาของการทำนิตยสารและความสำคัญ ทำให้เราได้เห็นคุณค่า และได้รับรู้ถึงความใส่ใจที่ทางบริษัทวิริยะธุรกิจได้ให้ลงไปในสื่อต่าง ๆ ของเขา ทั้งหนังสือ นิตยสาร หรือแม้กระทั่งสื่อผ่านออนไลน์ หลังจากนั้นช่วงบ่าย ก็แยกย้ายกันตามอาชีพ เราได้พูดคุยกับพี่ช่างภาพและรับคำแนะนำมาปรับใช้และเปลี่ยนความคิด แค่ 2 คนก็กินเวลาจนหมดวันเลยล่ะ
วันนี้เราได้เรียนรู้การจัดสตูดิโอถ่ายภาพด้วย ไม่เพียงแค่รู้การจัดวางองค์ประกอบของภาพ แต่เรายังได้รู้เหตุผลในการใช้องค์ประกอบนั้นๆ เรียนรู้และจดจำลงสมองอย่างดีเลย ฟังเหมือนเป็นงานสบายนะ แต่ผ่านไป 3 ชั่วโมง เพิ่งจะได้กดชัตเตอร์ไป 1 ครั้งถ้วนเลยนะ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ มันต้องทุ่มเทมากจริงๆ ช่วงบ่ายที่บริษัทมีการจัดเสวนาเกี่ยวกับนักเขียน 2 ท่าน เราก็ได้ฝึกถ่ายงานตามสไตล์สารคดี และจบไปอย่างไม่หนักหนาสาหัสมาก
วันนี้คือเหนื่อยมาก ๆ เราได้ไปลงพื้นที่ศึกษาและลงงานลองถ่ายสถานที่จริง แต่ด้วยมีเวลาจำกัดมาก ๆ จึงต้องรีบเร่งให้ทันตามเวลาที่มี แดดร้อน ๆ ไม่สามารถทำลายความตั้งใจของเราได้หรอกมั้ง55555 เราได้ลงเดินรอบ ๆ ท่าน้ำนนท์และได้เทคนิคการการถ่ายภาพพร้อมมุมมองใหม่ ๆ ในเวลาเดียวกัน ใช้ทั้งแรงกายและแรงสมองเลยทีเดียว เมื่อกลับมาถึงช่วงบ่ายก็ได้นั่งทำการคัดเลือกรูปเพื่อนำไปทำบทความที่เป็นผลงานคู่กับบรรณาธิการที่มาฝึกงานด้วยกัน ก็จะเสร็จช้าหน่อย แบล๊งๆเหมือนโดนล้างสมองเลยล่ะ5555
วันสุดท้ายของการเป็นช่างภาพแล้ว มาถึงตั้งแต่เช้าทุก ๆ คนก็รีบเร่งทำงานของตัวเองให้เสร็จในช่วงเช้า และส่งให้ทันเวลา เลยได้มีเวลาพักผ่อนนิดหน่อยในตอนบ่าย
บอกเลยว่า ช่างภาพ ไม่ต้องการทักษะมากมายหรอก แค่มีอัธยาศัยที่ดีกับผู้คนรอบข้าง มีความอดทน การเปิดใจกว้าง และการรักในการถ่ายรูปก็พอแล้ว ถ้าเราทำแล้วไม่มีความสุข 4 ปีหรือ 4 วันก็นานทั้งนั้นแหละ สู้ ๆ นะ
อย่างแรกเลยคือ เราจะมีอิสระในการออกแบบภาพในหัวเรา ไม่ต้องมีคนมาตีกรอบ อีกทั้งยังได้ออกไปเที่ยวบ่อย ๆ อีกด้วย แต่ก็ขึ้นอยู่กับหัวข้อนั้น ๆ ด้วยนะ ส่วนข้อจำกัด หลายคนอาจมองว่าน่ารำคาญนะ คือการถ่ายภาพ จะต้องมี จังหวะเวลาที่เหมาะสม รีบไปรีบถ่ายรีบกลับ งานไม่ดี ไม่มีคุณภาพ และไม่สื่ออารมณ์อีกด้วย ทุก ๆ ภาพที่ดี จะต้อง " ถูกที่ถูกเวลาเสมอ " เรามีโอกาสได้เจอกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด แต่ถ้าเราใจแคบ เราจะมองว่านั้นเป็นโชคร้ายของเรา ทั้ง ๆ ที่ หากเราเปิดใจและพยยาม เราอาจจะได้อะไรที่เราไม่คาดคิดก็ได้
" ตีกรอบรอ คิดภาพในหัว แล้วรอจังหวะ "
ขอบคุณที่ทนอ่านกันมาถึงตรงนี้นะคะ5555555 หวังว่าสิ่งที่เราได้เเชร์ไป จะเป็นประโยชน์ให้คนอ่านทุก ๆ คนไม่มากก็น้อยค่ะ หวังว่าจะได้เจอกับรุ่น 4 ที่น่ารักทุกคนนะค้าาา