สำนวนทีเกี่ยวกับหนังสือสำนวนแรกคือ a closed book มีความหมายว่า คนหรือหัวข้อที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ เปรียบเสมือนกับหนังสือที่ปิดอยู่ไม่ให้เราอ่านเพื่อและเราเองก็อาจจะไม่อยากอ่านเพื่อทำความเข้าใจด้วย เช่น
Ex. Mathematics is a closed book for me.
(คณิตศาสตร์เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับฉัน)
สำนวนนี้มีการเปรียบเทียบว่าคนที่เปิดเผยหรือคนที่ไม่มีความลับ ก็เหมือนกับหนังสือที่เปิดกางอยู่ให้คนสามารถอ่านได้อย่างสะดวก คนประเภทนี้น่าคบหานะคะแต่ใครที่รู้ตัวว่าเป็นคนประเภทนี้ต้องระวังตัวเองจากผู้ไม่หวังดีด้วยนะคะ เช่น
Ex. Lisa and I are an open book to each other because we are close friend.
(ลิซ่าและฉันไม่มีความลับต่อกันเพราะพวกเราเป็นเพื่อนสนิทกัน)
สำนวนนี้มีความหมายว่า ทำโทษผู้ที่ทำความผิด โดยได้นำคำว่า book มาสื่อถึงการให้บทเรียนหรือบทลงโทษแก่ผู้ที่ทำความผิดนั่นเอง เช่น
Ex. Ken was caught skipping class so the teacher brought him to book.
(เคนถูกจับได้ว่าโดดเรียน ดังนั้นคุณครูจึงทำโทษเขา)
สำนวน by the book เป็นสำนวนที่มีการเปรียบเทียบว่าทำตามตำรา เมื่อตีความสำนวนนี้แล้วจึงหมายถึง ทำตามกฎระเบียบ ข้อบังคับ กติกาอย่างเคร่งครัด เช่น
Ex. The soldiers are very strict men so they always do everything by the book.
(เหล่าทหารเป็นคนที่เข้มงวดมาก ดังนั้นพวกเขาทำทุกอย่างตามกฎเสมอ)
เราคงเคยได้ยินคำพูดยอดฮิตในช่วงสอบว่า ต้มหนังสือกินได้คงทำไปแล้ว เพื่อสื่อว่าความรู้จากหนังสือทั้งหมดนั้นจะได้ไหลเข้ามาในตัวเรา (ผ่านการกิน) จึงมีการนำลักษณะนี้มาใช้ในสำนวนภาษาอังกฤษ ซึ่งมีความหมายเกี่ยวกับการดัดแปลงบัญชีเพื่อการฉ้อโกง เช่น
Ex. A: I think Munin is a good accountant. Why did boss fire her?
(ฉันคิดว่ามุนินเป็นพนักงานบัญชีที่เก่งนะ ทำไมบอสถึงไล่หล่อนออก)
B: I've heard that she cooked the books.
(ฉันได้ยินมาว่าหล่อนดัดแปลงข้อมูลในบัญชีเพื่อโกงเงิน)
หลาย ๆ คนเวลาเลือกซื้อหนังสืออาจจะต้องพิจารณาถึงหน้าปกกันด้วยใช่มั้ยคะ? ถ้าหน้าปกสวยถูกใจก็จะดึงดูดสายตาเราให้หยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา นี่จึงเป็นที่มาของสำนวน don't judge a book by its cover หรือ อย่าตัดสินคนจากภายนอกนั่นเอง เช่น
Ex. A: That film's poster looks great.
(โปสเตอร์หนังเรื่องนั้นดูดีนะ)
B: Don't judge a book by its cover. I watched it and it's so boring.
(อย่าตัดสินอะไรจากภายนอก ฉันได้ดูหนังเรื่องนั้นแล้วและมันน่าเบื่อมาก)
สำนวนนี้มีความหมายว่า การที่คน ๆ หนึ่งมีทัศนคติในแง่บวกกับเรา ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบว่าเหมือนเราได้ถูกจดชื่ออยู่ใน good book หรือหนังสือเล่มดีของเขา เช่น
Ex. I am a good and diligent student because I want to be in my teacher's good books.
(ฉันเป็นนักเรียนที่ดีและขยันเรียนเพราะฉันอยากให้คุณครูรู้สึกดีกับฉัน)
สำนวนนี้มีการเปรียบเทียบว่าการอ่านหนังสือก็เหมือนกับการอ่าน (ใจ) คน เพราะฉะนั้นถ้าหากเราสามารถอ่านคนอื่นออกก็ย่อมส่งผลดีในด้านต่าง ๆ เช่น
Ex. Wasin is a psychologist so he can read everyone like a book.
(วศินเป็นนักจิตวิทยาดังนั้นเขาจึงสามารถอ่านใจทุกคนได้)
คำว่า leaf แปลว่า หน้ากระดาษ สำนวนนี้หากแปลตรงตัวมีความหมายว่า ดึงกระดาษหนึ่งหน้าจากหนังสือของ ... ซึ่งเมื่อตีความจึงหมายถึง ทำตามหรือเอาเป็นตัวอย่างเมื่อเห็นว่าคน ๆ นั้นทำแล้วได้ผลหรือประสบความสำเร็จ เช่น
Ex. If you want to lose some weight, you should take a leaf out of trainer's book.
(ถ้าคุณต้องการลดน้ำหนัก คุณควรทำตามเทรนเนอร์นะ)
สำนวนนี้มีความหมายตรงตัวเลยคือ พยายามใช้ทุกกลเม็ดในหนังสือ หรือก็คือทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ตัวอย่างการใช้เช่น
Ex. Kanya tried every trick in the book to seduce Thada.
(กันยาได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อยั่วยวนธาดา)