โลกของเรานั้นมีพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยทะเลทรายมากกว่า 1 ใน 5 ของพื้นโลก ส่วนใหญ่เราจะพบทะเลทรายในบริเวณระหว่างละติจูด 15 องศาถึง 30 องศาทั้งเหนือและใต้ บริเวณนี้เป็นบริเวณที่มีภูมิอากาศร้อนและแห้งแล้ง มีฝนตกน้อยมากโดยมีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่า 250 มิลลิเมตรต่อปี จึงทำให้เป็นพื้นที่แห้งแล้ง และมีสภาพเป็นทะเลทราย ซึ่งนั่นเป็นการจำกัดจำกัดจำนวนประชากรของคนและสัตว์โดยปริยาย และทำให้พืชที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้คือ สายพันธุ์ที่ทนต่อความแห้งแล้งเท่านั้น
พื้นที่ที่มีความแห้งแล้งเหล่านี้ถูกเรียกว่า ทะเลทรายเพราะมันแห้ง มันอาจจะร้อนหรืออาจจะหนาวก็ได้ โดยอาจจะเป็นพื้นที่ที่มีทรายหรือเต็มไปด้วยหินและกรวดจำนวนมหาศาลแซมด้วยพืช แต่คำว่าทะเลทรายก็คือ มันจะมีอากาศที่แห้งอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตาม ทะเลทรายไม่ได้มีเพียงอากาศที่ร้อนเท่านั้น ความแห้งแล้งที่พูดถึงนี้ยังมีทั้งอากาศที่ร้อนจัดและเย็นจัด และอุณหภูมิที่แตกต่างกันของทะเลทรายแต่ละพื้นที่ทำให้เราสามารถแบ่งประเภทของทะเลทรายโดยใช้อุณหภูมิเป็นเกณฑ์ได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. Hot desert เป็นทะเลทรายที่ร้อนมากในตอนกลางวันและหนาวในช่วงเวลากลางคืน ตัวอย่างเช่น ทะเลทรายซาฮารา ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ที่มีอุณหภูมิตอนกลางวันสูงถึง 50 องศาเซลเซียส ซึ่งนับได้ว่าเป็นทะเลทรายที่มีอากาศร้อนที่ใหญ่ที่สุด โดยครอบคลุมพื้นที่ทั้งสิ้น 9 ล้านตารางกิโลเมตร
2. Cold desert เป็นทะเลทรายที่อบอุ่นในช่วงเวลากลางวันแต่จะหนาวจัดในช่วงเวลากลางคืน เช่น ทะเลทรายโกบี ในประเทศมองโกเลีย หรือทะเลทรายแอนตาร์กติกในทวีปแอนตาร์กติกซึ่งเป็นทะเลทรายที่มีอากาศหนาวเย็นขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
เราจะสังเกตเห็นว่า ในช่วงเวลากลางวันทะเลทรายจะมีอากาศร้อนจัด เพราะทะเลทรายได้รับแสงอาทิตย์โดยตรง ประกอบกับในพื้นที่ที่เป็นทะเลทรายไม่ค่อยมีต้นไม้หรือพืชที่ช่วยดูดซับความร้อน ดังนั้น ทรายที่รับแสงอาทิตย์โดยตรงจึงกักเก็บความร้อนเอาไว้ในปริมาณมาก ทำให้มีอุณหภูมิที่สูงมากในเวลากลางวัน แต่ทรายเหล่านี้ก็คายความร้อนออกมาได้เร็วเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ในเวลากลางคืน อุณหภูมิในบริเวณพืื้นที่ที่เป็นทะเลทรายจึงลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้มีอากาศที่หนาวจัด โดยบางครั้งอุณหภูมิอาจลดลงจนถึง 0 องศาเซลเซียสได้ ดังนั้น ทะเลทรายจึงไม่ได้มีเพียงแต่อากาศร้อนอย่างเดียวเท่านั้น สรุปได้ว่า ทะเลทรายจะร้อนในเวลากลางวัน ส่วนกลางคืนจะหนาวจัด นอกจากนี้อุณหภูมิที่มีความแตกต่างกันอย่างมากของกลางวันและกลางคืน ยังทำให้อากาศในทะเลทรายมีความแปรปรวน จนเกิดเป็นพายุทรายอย่างรุนแรงและบ่อยครั้ง
สิ่งมีชีวิตในทะเลทรายมีการปรับเปลี่ยนการดำรงชีวิตให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศเพื่อความอยู่รอด เช่น อูฐจะกักเก็บน้ำไว้ที่โหนกของมันและสามารถอยู่ได้หลายวันโดยปราศจากอาหารและน้ำ นอกจากนั้นสัตว์ที่อยู่ในทะเลทรายส่วนใหญ่จะออกล่าในเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินแล้วเท่านั้น สัตว์บางประเภท เช่น เต่าทะเลทรายจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ใต้ดิน หรือแม้กระทั่งนกทะเลทรายบางชนิดจะเร่ร่อนไปในที่ต่าง ๆ เพื่อหาอาหาร ดังนั้น จะเห็นได้ว่าสัตว์ที่อยู่ในทะเลทรายจะไม่ค่อยอยู่กับที่ แต่จะเปลี่ยนที่อยู่อาศัยและมีการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
สำหรับพืชในทะเลทรายก็มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเพื่อที่จะสามารถเติบโตได้ในทะเลทรายเช่นกัน พืชบางชนิดจะมีรากยาวและสามารถชอนไชสู่ชั้นใต้ดินเพื่อหาแหล่งน้ำ หรือพืชที่เรารู้จักกันดีในทะเลทราย เช่น กระบองเพชรที่ลำต้นมีลักษณะเป็นหนามแหลม ก็เพื่อเพื่อลดการคายน้ำและกักเก็บน้ำไว้ในลำต้น ซึ่งทำให้มันสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นเวลาหลายร้อยปี
ในปัจจุบันทะเลทรายไม่ได้เป็นเพียงทรายที่กว้างใหญ่อย่างที่เราเห็นในภาพเท่านั้น ตอนนี้พื้นที่บนโลกของเราเริ่มจะกลายสภาพเป็นทะเลทรายเพิ่มขึ้นทุกปี เราเรียกภาวะนี้ว่า การกลายเป็นทะเลทราย (Desertification) สาเหตุมาจากความแห้งแล้ง เกิดขึ้นจากจำนวนของประชากรโลกที่เพิ่มมากขึ้นของแต่ละพื้นที่ ทำให้ต้องตัดไม้ทำลายป่าเพื่อนำพื้นที่ไปทำการเกษตรหรือพืชไร่ และเมื่อเวลาผ่านไป พื้นที่นั้นไม่ได้รับการดูแล มีการเปลี่ยนพื้นที่ทำการเกษตรและบุกรุกพื้นที่ป่าไปเรื่อย ๆ ทำให้พื้นที่แห่งนั้นแห้งแล้ง ขาดความอุดมสมบูรณ์และเสื่อมโทรม เกิดภาวะการกลายเป็นทะเลทราย ซึ่งเริ่มเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นในปัจจุบัน
หลายคนอาจจะหายข้อสงสัยเกี่ยวกับทะเลทรายไปไม่มากก็น้อยนะคะ สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้านะคะ สวัสดีค่ะ