สำนวนนี้มีความหมายว่า ป่วยหรือไม่สบาย โดยอาจจะขึ้นต้นด้วย v.to be และคำว่า feel ได้ เช่น
Palmy is feeling under the weather. I think she should take the day off to recover.
(ปาล์มมี่รู้สึกไม่สบาย ฉันคิดว่าหล่อนควรลาป่วยกลับไปพัก)
สำนวนนี้มีการเปรียบเทียบสิ่งใหญ่ที่อยู่ในสิ่งเล็ก เป็นสำนวนที่มีความหมายว่า ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งเป็นความหมายในเชิงลบเอาไว้ใช้ติเตียนคนที่ชอบ over acting ก็ได้ค่ะ เช่น
Don’t trust him. He’s always making a storm in a teacup.
(อย่าเชื่อเขา เขาชอบทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่เสมอ)
ถ้าแปลตรงตัวสำนวนนี้มีความหมายว่า ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยพายุ นั่นแสดงให้เห็นถึงการเปรียบเทียบว่า ความสัมพันธ์นี้ไม่ค่อยราบรื่นนัก มักมีการทะเลาะเบาะแว้งและความคิดเห็นไม่ลงรอยกัน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่น่าปวดหัวมาก ๆ เลยทีเดียว เช่น
Sumalee asked for a divorce because she can’t bear a stormy relationship.
(สุมาลีได้ขอหย่า เพราะหล่อนไม่สามารถอดทนกับความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานได้ = ทะเลาะกันบ่อย)
ไหนใครเป็นสายมโนบ้างคะ? สำนวนนี้เอาไว้ใช้ตำหนิสายมโนทั้งหลายโดยมีความหมายว่า เพ้อฝัน ไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง หรือเหม่อลอยก็ได้ เช่น
Henry always has his head in the clouds so he can’t answer teacher’s question.
(เฮนรี่มักจะเหม่อลอยเสมอ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตอบคำถามของครูได้)
คำว่า spit แปลว่า พ่นหรือถ่มน้ำลาย เมื่ออยู่ในสำนวนนี้จึงมีความหมายว่า เสียเวลาทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ทำไปก็ไม่ได้อะไร ให้ความรู้สึกเดียวกันกับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำในสำนวนภาษาไทยเลยค่ะ เช่น
If you’re trying to lose some weight without controlling your diet, you’re spitting into the wind.
(ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะลดน้ำหนักแต่ไม่ควบคุมอาหาร คุณกำลังเสียเวลาทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์)
มีใครชอบโดนเพื่อนแย่งซีนบ้างคะ? ลองเอาสำนวนนี้ไปใช้กันดูนะคะ เพื่อกล่าวถึงคนที่แย่งซีนเราหรือเอาความเด่นเราไปนั่นเอง เช่น
Although Alan has a good acting but Aline always steals his thunder.
(ถึงแม้ว่าอลันจะมีการแสดงที่ดี แต่อลินก็มักจะแย่งซีนเขาอยู่เสมอ)
สำนวนนี้ถ้าแปลตรงตัวหมายถึง ใบหน้าเหมือนฟ้าผ่า เอ๊ะ! มันเป็นอย่างไร เดาไม่ยากเลยใช่ไหมคะ มันก็คือใบหน้าถมึงทึงเนื่องจากกำลังโกรธหรือโมโหอยู่ เพราะฉะนั้นสำนวนนี้จึงหมายถึงโกรธหรือไม่พอใจนั่นเอง เช่น
What did I do wrong? Why you had a face like thunder?
(ฉันทำอะไรผิดหรอ ทำไมคุณถึงโกรธมากเลย)
คำว่า chase แปลว่าวิ่งไล่ ส่วน rainbows แปลว่าสายรุ้ง สำนวนนี้เมื่อแปลตรงตัวหมายถึง วิ่งไล่สายรุ้ง ซึ่งต่อให้วิ่งเร็วและไกลแค่ไหนก็เอื้อมไม่ถึงสายรุ้งอยู่ดี เพราะฉะนั้นสำนวนนี้จึงมีความหมายว่า ต้องการไขว่คว้าในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เช่น
It seems like chasing rainbows when you want to pass the exam without reading books.
(มันดูเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อเธอต้องการจะสอบผ่านโดยไม่อ่านหนังสือ)
สำนวนนี้หมายถึง งานมากมายหรืองานท่วมหัว ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบว่างานที่มากมายเหมือนกับหิมะที่ทับถมตัวฉันลงมานั่นเอง เช่น
I’m afraid that I can’t go to have dinner with you. I was snowed under at work.
(ฉันเกรงว่าจะไม่สามารถไปรับประทานอาหารเย็นกับคุณได้ ฉันมีงานท่วมหัวเลย)
ปกติอากาศช่วงเดือนกรกฎาคมในต่างประเทศจะเป็นช่วงฤดูร้อน ดังนั้นสำนวนนี้จึงมีความหมายว่า บางสิ่งบางอย่างที่จะไม่เกิดขึ้น เป็นการเปรียบเทียบว่าก็เหมือนกับที่ไม่มีอากาศหนาวในช่วงเดือนกรกฎาคม เช่น
Stop loving you is a cold day in July.
(การหยุดรักคุณเป็นสิ่งที่จะไม่เกิดขึ้น)