เหตุผลข้อแรกที่เรามักใช้กันบ่อยเลยคือ I overslept. หมายถึง ฉันนอนเลยเวลาที่กำหนดตื่น นอนเพลินเลยจนตื่นสาย ทำให้มาสายค่ะ
คำว่า alarm แปลว่า นาฬิกาปลุก ส่วน go off เป็น phrasal verb แปลว่า ปลุก เพราะฉะนั้นประโยคนี้จึงเป็นเหตุผลไว้ใช้ขอโทษเมื่อมาสายว่า ก็นาฬิกาปลุกของฉันมันไม่ปลุก ฉันเลยไม่ตื่น
ประโยคนี้หมายถึง ฉันรอรถประจำทาง/รถเมล์นานมาก เหมือนที่เราชอบพูดกันบ่อย ๆ ว่า รอเป็นชาติ คือรอนานมาก ๆ (ก.ไก่ล้านตัว) โดยสังเกตจากคำว่า age แปลว่า อายุหรือยุคสมัย พอมีการเติม s จึงหมายถึงเวลาที่นานมาก ๆ
สืบเนื่องจากเหตุผลในข้อที่แล้ว เหตุผลทั้งสองข้อนี้คล้ายกันคือ รถประจำทางหรือรถเมล์นั้นมาช้า ทำให้เราต้องเสียเวลารอรถนานและทำให้ไปตามนัดสายหรือไปทำงานสายนั่นเอง
ประโยคนี้นับว่าเป็นเหตุผลสุด classic เลยในการให้เหตุผลว่าเพราะอะไรเราถึงสาย ซึ่งนอกจากรถติดจะใช้ว่า Traffic was terrible แล้วยังสามารถใช้วลีว่า Traffic jam ได้อีกด้วย
‘ฉันหาที่จอดรถหรือจุดจอดรถไม่ได้’ อีกหนึ่งเหตุผลดี ๆ ของคนที่มีรถยนต์ส่วนตัว โดยเมื่อเรามาสายหรือเลยเวลาที่นัดหมายแล้ว บอกไปว่าฉันยังหาที่จอดรถไม่ได้ก็ดูเป็นเหตุผลที่เข้าท่านะคะ เพราะอย่างน้อย ๆ ฉันก็ถึงที่หมายแล้วเพียงแต่ยังลงจากรถไม่ได้
I got lost coming here. หมายถึง ฉันหลงทางเมื่อมาที่นี่ เหตุผลใช้ขอโทษเมื่อมาสายและสามารถเป็นข้ออ้างเรียกคะแนนความสงสารได้อีกทางหนึ่งว่า เพราะหลงทางจึงทำให้ฉันสาย
คำว่า tie up แปลว่า ทำให้แน่น หรือทำให้มีงานยุ่ง ส่วนคำว่า meeting นอกจากแปลว่าการพบเจอแล้ว ยังแปลว่า การประชุมได้อีกด้วย โดยสำนวนนี้เมื่อตีความหมายจึงหมายถึง ฉันติดประชุมอยู่ อาจจะต้องไปสายหน่อยนะ (คิวทองโปรดจงเข้าใจ)
‘ฉันลืมเวลาไปเลย’ สำนวนแสดงเหตุผลแบบข้าง ๆ คู ๆ ข้อนี้แอบไม่แนะนำให้นำไปใช้นะคะ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับเหตุผลข้ออื่นแล้ว ข้อนี้ดูเป็นเหตุผลที่ไม่ค่อยเข้าท่าและไม่ได้ช่วยให้การแก้ตัวของเราดีขึ้นเลย
Phrasal verb คำว่า break down แปลว่า พังหรือเสีย ประโยคเหตุผลไว้ใช้อ้างมาสายข้อนี้จึงหมายถึง รถของฉันเสีย เลยทำให้ฉันมาสาย โดยในที่นี้อาจจะหมายถึงรถยนต์ส่วนตัวของตนเองหรือรถสาธารณะก็ได้ค่า