ป่านรู้สึกว่าการวาดให้มันดูไม่ตั้งใจ เบี้ยวบ้าง มันสนุก ไม่เครียด ป่านว่าของพวกนี้มันมาจากประสบการณ์ของแต่ละคน เราโตมาแบบไหน เราดูหนังแนวไหน คบเพื่อนแบบไหน ใช้ชีวิตมายังไง เรื่องพวกนี้มันส่งผลกับงานของเรา อย่างป่านเป็นคนสบาย ๆ เสื้อผ้าก็จะชอบใส่แบบที่สบายตัว ชุดที่ฟิตหรือรองเท้าที่ใส่แล้วอึดอัด ถึงมันจะสวย แต่ป่านจะรู้สึกไม่มั่นใจ ก็เหมือนกับเวลาวาดรูป ชิ้นไหนทำแล้วสบายใจก็จะชอบมาก ป่านชอบความหลวม ๆ ชอบสีโทนสดใส มองแล้วให้ความรู้สึกสบายใจค่ะ
เดวิด ฮอกนีย์ ศิลปินยุค 70s ได้เปิดโลกศิลปะให้กับป่าน เขาทำคอลลาจจากโพลารอยด์ในแต่ละมุม แล้ววาดสิ่งนั้นออกมาเป็นภาพวาดอีกทีหนึ่ง ซึ่งการทำแบบนี้แน่นอนว่ามันจะไม่ตรงเป๊ะ มุมมันจะเบี้ยว คือตอนที่ป่านเห็นครั้งแรกก็เหมือนเราได้รีเซ็ตความคิดตัวเองใหม่ ป่านรู้สึกว่า วาดรูปมันไม่ต้องเหมือนของจริงก็ได้ ตอนนั้นเราอยู่ปีหนึ่งก็กลับไปศึกษางานของเขาเพิ่มเติม แล้วยิ่งมั่นใจว่าศิลปะมันเป็นอะไรก็ได้ มันสวยงามเพราะความหลากหลาย ไม่งั้นคงจะน่าเบื่อมาก ถ้าศิลปะบนโลกนี้มีแค่แบบเดียว พูดแล้วก็ขอบคุณฮอกนีย์มา ณ ที่นี้ด้วย (หัวเราะ)
มันสวยงามที่มันหลากหลาย ถ้าคนเรายอมรับในความหลากหลายได้อย่างจริงใจ เราจะพบความงามที่แตกต่าง เอาเข้าจริงความงามที่แท้จริงของศิลปะคือความหลากหลายนะ มันไม่น่าจะมีแค่ดีกับไม่ดี สวยกับไม่สวย มันต้องสวยหลาย ๆ แบบ เวลาวาดรูปป่านจะไม่ได้คิดว่ามันต้องสวยแบบไหน เพราะป่านรู้ว่าความสวยมันมีหลายแบบ คนมุงดูภาพเดียวกันร้อยคน ก็อาจจะไม่ได้สวยในสายตาของคนทั้งร้อยคน แต่แน่นอนว่าต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่มองว่าภาพนี้สวย
มันน่าจะเป็นคุณสมบัติของทุกอาชีพเลยนะคะ ป่านเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตามที่สามารถมองเห็นความสวยงามในความหลากหลายได้ คน ๆ นั้นจะทำอะไรก็ได้ และเขาจะไปสุดในทุกทาง คิดดูนะคะ กว่าคนหนึ่งคนจะสามารถทำใจยอมรับสิ่งที่มันต่างจากตัวเองได้ นั่นแปลว่าเขาเห็นมามากกว่าคนอื่น และไม่ยึดติดกับอะไรเดิม ๆ เขาเข้าใจว่าการทำแกงสักหม้อ ใส่หมูก็อาจอร่อยไปอีกแบบ ใส่เนื้อก็จะหอมอร่อยอีกแบบ ใส่ไก่ก็รสดีอีกแบบ มันขึ้นอยู่กับว่าชอบอันไหนมากกว่า
ใช่ สุดท้ายเราก็จะรู้ว่าเราชอบแกงแบบไหน แล้วไปศึกษา ฝึกฝนปรุงแกงหม้อนั้นด้วยตัวเองให้อร่อย เพราะพอเรามองอะไรโดยที่ไม่ตัดสินไปก่อน เราก็จะเป็นอิสระจากทุกอย่าง มันเป็นการให้โอกาสตัวเองได้คิดเต็มที่ ยิ่งถ้าเราดูเยอะ ๆ ดูแล้วคิดตาม เราก็จะคิดได้ว่าอะไรคือสิ่งที่อยากจะเล่าในงานของตัวเอง ศิลปิน 10 คน ก็มี 10 วิธีในการสร้างสรรค์ผลงานนะคะ แต่ละคนก็จะมีวิธีไม่เหมือนกันในการปลดปล่อยตัวเอง มันต้องค่อย ๆ หา
ป่านไม่เคยสอนให้ใครวาดอะไรเวลาไปเวิร์กชอป อย่างตอนไปเวิร์กชอปเด็ก เราก็ไม่ได้จับมือให้น้อง ๆ วาดตามเส้น หรือบอกวิธีว่าวาดรูปยังไงให้สวย ป่านสอนให้ใครวาดสวยไม่ได้เพราะตัวเองก็ยังวาดไม่สวย เราจะไม่เอาหนังสือทฤษฎีการวาดภาพเล่มหนา ๆ มากางแล้วสอนตาม เพราะป่านอยากให้คนที่เข้ามาเวิร์กชอปวาดอะไรก็ได้ที่เขาอยากวาด ป่านเคยไปสอนน้อง ๆ ที่คลองเตย แค่แจกโจทย์ว่าให้วาดรูป Portrait หน้าตัวเอง คิดว่าหน้าตัวเองเป็นยังไงให้วาดออกมา ซึ่งน้อง ๆ ก็ทำออกมาได้ประทับใจมาก เพราะพวกเขาวาดสิ่งที่ตัวเองเห็นจริง ๆ ออกมา ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองรู้ คนเราจะชอบรู้ว่าหน้าคนมันต้องเป็นแบบนี้ ตา หู จมูก ปากแบบนี้ แต่นั่นไม่ใช่หน้าเรานะ มันคือหน้าที่เรารู้
ป่านเชื่อว่ามันมาจากรากฐานที่คนเราไม่เหมือนกัน แต่สีในตัวเรามันเปลี่ยนได้เรื่อย ๆ อย่างปีที่แล้วป่านชอบสีเหลือง ปีนี้ป่านชอบสีเขียว คือคนเรามีสีในตัวเองหมดแหละ อยู่ที่ใครจะแสดงออกหรือไม่แสดงออก คนหน้าโหดเขาอาจจะชอบสีชมพูสด ๆ ก็ได้ และบางทีเราก็เห็นสีในตัวคนอื่น แบบเห็นสีนี้เเล้วนึกถึงคนนี้ แต่ไม่ได้หมายถึงในแง่โรแมนติกนะ อย่างแม่ป่านต้องสีเอิร์ธโทน และมีสีสด ๆ แทรกอยู่ประมาณ 20% ส่วนคุณพ่อต้องเป็นสีที่มีความเป็นประวัติศาสตร์ ถ้าเป็นสีแดงก็ต้องแดงเลือดหมู สีเก่า ๆ ประมาณนี้ค่ะ
ป่านว่ามันอาจไม่ได้ส่งผล 100% น่าจะแล้วแต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาของแต่ละคนด้วย อันนี้ป่านพูดแบบไม่อิงหลักการ แต่จากประสบการณ์ของตัวเอง สมมติว่าถ้าป่านเป็นโรคซึมเศร้า แต่ตอนที่มีความสุขป่านชอบสีม่วงมาก คือมองสีม่วงแล้วมีความสุข เคยมีประสบการณ์ที่ดีกับสีม่วง ดังนั้นสีม่วงจะไม่ทำให้ป่านซึม แต่จะทำให้ป่านนึกถึงสิ่งดี ๆ ที่ตัวเองเคยทำมา แต่ที่ถามว่าสีโทนหม่นทำให้เศร้าไหม มันอาจจะเหมารวมคนส่วนใหญ่ อิงทฤษฎี แต่ถ้าเรามองเป็นคน ๆ ไป มันอาจจะไม่ใช่แบบนั้นก็ได้ เหมือนบางคนฟังเพลงเศร้าแล้วรู้สึกดีกว่าฟังเพลงเร็ว ๆ ก็มี
ป่านเชื่อในทฤษฎีนะ มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์มาแล้วว่าทำได้ แต่ถ้าให้มองที่ตัวป่านศิลปะมันอาจจะไม่ได้พลิกชีวิตเราจากหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนั้น เพราะป่านโตมากับศิลปะ ชอบและสนใจมาตลอด แต่ถ้าในมุมของคนที่ไม่ได้ชอบศิลปะมาตั้งแต่แรก การได้วาดรูปเล่น วาดอะไรก็ได้ เช่น พนักงานออฟฟิศพักระบายสีอาจจะช่วยให้เขาสงบขึ้นได้จากความเครียด แต่สำหรับป่านศิลปะไม่ได้เปลี่ยนตัวเรา เพราะเป็นคนไม่ค่อยเครียดค่ะ ตอนนี้แค่อยากส่งต่อด้านดี ๆ ของศิลปะออกไปเท่านั้นเอง
ป่านไม่เคยเรียนด้านนี้นะ แต่ว่าสนใจ อันนี้เป็นประสบการณ์ตรงของป่าน ที่ทำให้เชื่อในทฤษฎีที่ว่าศิลปะสามารถบำบัดคนได้ คือป่านสังเกตจากคุณแม่และคุณยาย แล้วรู้สึกว่าศิลปะมันช่วยทำให้ท่านทั้งสองอารมณ์ดีขึ้น แต่ที่เห็นชัด ๆ เลยคือ เพื่อนสนิทป่านที่วาดรูปเหมือนกัน เขาไม่ได้เรียนศิลปะมาโดยตรง แต่ศิลปะได้บำบัดและเปลี่ยนชีวิตเขา ก่อนหน้านั้นเขาเป็นคนดาวน์ ๆ พอได้มาเริ่มวาดรูป เขาก็พ้นจากความรู้สึกดาวน์ และมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น ป่านว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์นะ เรื่องนี้
อย่างแรกคือจะแต่งตัว ถ้าป่านได้ใส่ชุดที่คิดว่ามันสวยก็จะมั่นใจมากขึ้น แล้วจะมีเพลงที่ป่านจะฟังทุกครั้งเวลาที่ตื่นเต้นคือ เพลงพรุ่งนี้ของนาเดีย ป่านว่าทุกคนมีเพลงที่พอฟังแล้วจะทำให้นึกถึงเหตุการณ์หรือช่วยเพิ่มพลังใจให้กับเรา อย่างเวลาป่านฟังเพลงพรุ่งนี้ ก็จะนึกถึงตอนที่กำลังจะไปฝึกงานในบริษัทที่ป่านไม่รู้จักใครเลย มันตื่นเต้นมาก แต่ท่อนหนึ่งของเพลงบอกว่า “พรุ่งนี้ค่อยเครียดนะ วันนี้ช่างมันไปก่อน เราตัวเล็กเเค่นี้เอง โลกมันใหญ่มากกว่าตัวเรา ดังนั้นอย่าสนใจตัวเองมากนัก” ซึ่งช่วยทำให้เราตื่นเต้นน้อยลง
ป่านก็ไม่ได้รู้สึกดีกับตัวเองขนาดนั้นนะ แค่รู้ว่าตัวเองมีมุมที่ดีและไม่ดีตรงไหนบ้าง มันเลยควบคุมได้ เวลาเครียดป่านก็นึกถึงข้อดีของตัวเอง ว่าเราก็ไม่ได้แย่ไปทั้งหมดนะ แต่คนที่ยังรู้สึกดีกับตัวเอง (self-love) ได้ไม่เต็มร้อยมันก็ไม่ได้แย่มากนะคะ ก็ค่อย ๆ หาไป
มันปกตินะ ก็เราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เรามีอารมณ์อยู่แล้ว แต่เวลาที่รู้สึกแบบนี้ก็ให้ลองทำอะไรที่หลากหลาย ใช้เวลาในวันเสาร์อาทิตย์ไปทำอะไรที่อยากทำ หาจุดที่จะทำให้ตัวเองแฮปปี้จริง ๆ ทั้งพาร์ทของการใช้ชีวิต และพาร์ทของอาชีพ อย่าตั้งเป้าหมายว่าอยากเป็นอาชีพนี้เพราะว่ามันรวย เพราะเพื่อนป่านหลายคนเลือกเรียนอันนี้เพราะมันน่าจะรวย โดยที่เขาไม่เข้าใจเป้าหมายของอาชีพนั้นจริง ๆ อย่างเช่น อาชีพหมอเป้าหมายคือรักษาคน แต่หลายคนที่เรียนหมอก็ไม่ได้อยากรักษาคน แต่เขาเรียนเพราะคิดว่ามันน่าจะรวย ซึ่งป่านก็เข้าใจนะว่าทำไมทุกคนต้องอยากรวย เพราะถ้าเราเป็นคนจนจะอยู่ยากมากในประเทศนี้ (หัวเราะ)
มันก็โอเค เพราะบางคนอาจจะมีความสุขที่ได้เห็นเงินในบัญชีเยอะ ๆ มองเห็นเงินในกระเป๋าล้นแล้วรู้สึกสบายใจจัง มันก็คือความสุขของเขา แต่ที่บ้านป่าน พ่อจะชอบบอกว่า
ใช่เลย เราก็คงมีเวลาไปทำอะไรที่มีความสุข สนุก มีเวลาค้นหาตัวเอง มากกว่าจะเลือกเรียนอะไรที่มันน่าจะรวยไปก่อน (หัวเราะ) แล้วสุดท้ายก็จะเฟล ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกก็จะเลือกอะไรที่ทำให้เรามีเงินเยอะ ๆ ไว้ก่อน
มันก็อาจจะเรียกว่าประสบความสำเร็จได้ สำหรับคนที่ตั้งเป้าไว้แบบนั้น คือป่านจบจากโรงเรียนที่เด็กทุกคนตั้งใจเรียน พ่อแม่มีแรงสนับสนุนมาก เพื่อนป่านหลายคนเก่งมาก ๆ ได้ทำงานที่ดี ได้เงินเดือนที่ดี แต่เขาไม่แฮปปี้เพราะไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ และเขาเหนื่อยมาก แต่ในขณะเดียวกันเขาประสบความสำเร็จใจอาชีพนะคะ แต่การใช้ชีวิตอาจยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จ มันเหมือนกับว่าเมื่อเขาไม่สามารถประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตได้ ก็เลยขอประสบความสำเร็จในอาชีพคือรวยไว้ก่อน ซึ่งป่านรู้สึกว่าระบบมันเฟลอ่ะ มันเฟลซ้ำซ้อน
มันคือการที่เราได้ใช้ชีวิตทุกวันโดยที่ไม่ได้กดดันตัวเองมาก ไม่ได้ทะเยอทะยานมาก แฮปปี้กับพาร์ทของการทำงาน พาร์ทในการใช้ชีวิตปกติก็แฮปปี้
ไม่ได้อยู่ภายใต้ความกดดันอะไรมากมาย ยิ้มแย้ม มีความสุข ตื่นมาทำงานที่ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นภาระ ตอนนี้ป่านไม่ได้มีความทะเยอทะยานหรือกดดันตัวเอง ป่านอยู่ในช่วงชีวิตที่ใช้ไปเรื่อย ๆ แต่มีเป้าหมายไกล ๆ คือ อีกสองปีจะทำโรงเรียนสอนศิลปะ เป้าหมายใกล้ ๆ ก็คือ ตื่นเช้ามาเจอพ่อ แม่ ยาย และก็เบบี๋แดง (ชื่อแมว) ได้กินกับข้าวอร่อย ๆ ฝีมือแม่ทุกวัน ทำงานไปเรื่อย ๆ แล้วก็ไปเที่ยว
เรื่อง : วัลญา นิ่มนวลศรี
ภาพถ่าย : ประวีร์ จันทร์ส่งเสริม