มีงานวิจัยที่ระบุถึงความเข้าใจผิดของผู้คนทั่วโลกกับสิ่งต่าง ๆ ที่เราปฏิบัติกันจนเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน โดยบางส่วนมาจากงานวิจัยของ Aron Carroll กุมารแพทย์จาก the Regenstrief และ Rachel Vreeman นักวิจัยจาก children’s health services research นอกจากนี้ยังมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย เราจะได้ทราบกันว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่เรายังเข้าใจผิดกันอยู่
1. อ่านหนังสือในที่ซึ่งแสงสว่างไม่เพียงพอทำให้สายตาเสีย
พ่อแม่หลายคนทั่วโลกเชื่อกันว่าการอ่านหนังสือในที่ที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอทำให้สายตาเสีย ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่เป็นเช่นนั้น การอ่านหนังสือในที่มืด อาจทำให้ปวดตาชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็จะกลับมาดีขึ้นเมื่อเปิดไฟ Aron Carroll กล่าวว่า เรื่องการอ่านหนังสือในที่มืดแล้วสายตาเสียไม่ได้มีข้อมูลอะไรรับรอง หากย้อนกลับไป 70 ปีก่อนหน้านี้ เด็ก ๆ ยุคนั้นจะต้องอ่านหนังสือโดยจุดตะเกียง ก็ไม่ได้ทำให้สายตาเสียแต่อย่างใด ดังนั้น การอ่านหนังสือในที่ซึ่งแสงสว่างไม่เพียงพอทำให้สายตาเสีย จึงไม่เป็นความจริง
2. อย่าเปิดโทรศัพท์มือถือในโรงพยาบาลเพราะจะไปรบกวนการทำงานของเครื่องมือแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าไปเปิดเครื่องใกล้ ๆ ห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน
เครื่องมือทางการแพทย์จะถูกรบกวนจากสัญญาณโทรศัพท์มือถือน้อยมาก หรือเกือบไม่มีเลย สถาบันการแพทย์ได้ทำการทดสอบการทำงานของเครื่องมือทางการแพทย์ 16 ชนิดกับสัญญาณโทรศัพท์มือถือ 6 เครือข่าย พบคลื่นรบกวนมีนัยยะสำคัญเพียง 1.2% จากการทดสอบ 512 ครั้ง และการศึกษาการใช้โทรศัพท์มือถือในรูปแบบที่ใช้กันตามปกติ พบว่าเครื่องมือแพทย์ไม่ถูกรบกวนเลย โดยทำการทดสอบ 300 ครั้ง
3. ผมและเล็บยังคงงอกต่อไปหลังตายแล้ว
ปรากฏการณ์ผมและเล็บที่ยังคงงอกต่อไปหลังมนุษย์เสียชีวิตลงแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด มันสามารถอธิบายได้ตามหลักชีววิทยา ซึ่งผมและเล็บที่ดูเหมือนงอกเพิ่มขึ้นนั้นไม่ได้งอกขึ้นจริง ๆ แต่เป็นเพราะผิวหนังมีการหดตัว ทำให้ผมและเล็บดูเหมือนว่ายาวขึ้นได้อีกนั่นเอง
4. คนเราใช้สมองแค่ 10%
หลายคนมีความเชื่อที่ว่าเราไม่ได้ใช้ศักยภาพของสมองอย่างเต็มที่ตามความสามารถที่เรามี แต่จากการสแกนภาพสมอง พบว่า ทุกส่วนของสมองถูกใช้งาน ไม่มีส่วนใดเลยที่ไม่ได้ใช้งาน เราไม่สามารถตรวจพบส่วนใดของสมองที่ไม่ได้ใช้งานถึง 90% ความเชื่อนี้คาดว่าน่าจะมาจากเซลล์แมนที่ต้องการขายโทนิกที่อ้างว่าใส่แล้วจะทำให้สมองทำงานดีขึ้น ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 20
5. ต้องดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 8 แก้วในแต่ละวัน
ความเชื่อที่ว่าต้องดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 8 แก้วในแต่ละวัน อาจทำให้หลายคนบังคับตัวเองให้ดื่มน้ำเปล่าครั้งละมาก ๆ แต่ความจริงคือ น้ำที่ร่างกายต้องการส่วนใหญ่แล้วได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป เราจะได้รับน้ำปริมาณมากพอจากอาหารและเครื่องดื่มในแต่ละวัน ทั้งน้ำผลไม้ นม หรือกาแฟ เหล่านี้ล้วนมีส่วนประกอบของน้ำทั้งสิ้น นอกจากนี้การดื่มน้ำมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะน้ำเป็นพิษจนทำให้สมดุลแร่ธาตุในร่างกายเสียไปจนอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้น เราอาจจะไม่ต้องงดื่มน้ำเปล่าถึงวันละ 8 แก้วก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนด้วย อย่างไรก็ตาม หากเลือกได้ น้ำเปล่าที่สะอาดก็ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่ดีที่สุดต่อร่างกายอยู่ดี
6. ยิ่งโกนหนวด หนวดยิ่งขึ้นเร็วและแข็งขึ้นกว่าเดิม
ไม่ว่าเราจะโกนหนวดโกนเคราหรือกำจัดขนหรือผมด้วยวิธีใดก็ตาม ก็ไม่มีผลทำให้ผมหรือขนหนาขึ้น แข็งขึ้น หรืองอกเร็วขึ้น ผมที่งอกมาใหม่จะงอกมาจากส่วนที่กุดเพราะโดนตัด ดังนั้น ผมที่ขึ้นใหม่ก็จะดูแข็ง ๆ และมีสีดำมากกว่าปกติ แต่ถ้าปล่อยไว้สักพักให้ผมหรือขนยาวขึ้น มันก็จะเหมือนผมหรือขนที่เคยถูกตัดออกไป
7. กินไก่งวงทำให้ง่วง
เราอาจจะไม่คุ้นเคยกับการกินไก่งวงสักเท่าไร เพราะการกินไก่งวงเป็นวัฒนธรรมของประเทศทางฝั่งตะวันตก ดังนั้น ความเชื่อที่ว่ากินไก่งวงแล้วจะทำให้ง่วงจึงมีอิทธิพลและเป็นที่ทราบกันในฝั่งตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบสารในไก่งวง พบว่าไม่มีสารใดที่สามารถทำให้ง่วง ไม่เหมือนกับข้าวเหนียวที่มีสารทริปโตเฟนที่ทำให้ง่วงได้ และถ้าให้พูดกันจริง ๆ แล้ว การกินอาหารในปริมาณมากต่างหากที่ทำให้ง่วง ถึงแม้จะไม่ได้กินไก่งวงในมื้อนั้น
8. แปรงฟันหลังอาหารทันที ทำให้สุขภาพฟันดี
การแปรงฟันหลังรับประทานอาหารเสร็จเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ควรแปรงฟันหลังรับประทานอาหารเสร็จทันที เพราะหากอาหารที่คุณรับประทานเป็นกรดอย่างผลไม้รสเปรี้ยว หรือน้ำอัดลม น้ำผลไม้ จะทำให้สารเคลือบฟันของเราอ่อนตัว การแปรงฟันในตอนนั้นจะทำให้ฟันของเราสึกกร่อนได้ ดังนั้น ควรรอสักครึ่งชั่วโมง เพื่อให้น้ำลายของเราล้างกรดที่เคลือบฟันเราอยู่เสียก่อนจึงจะแปรงฟันได้
9. อาหารที่ตกพื้นยังไม่ถึง 5 วินาที สามารถเก็บกินได้
หลายคนเคยใช้ความเชื่อนี้หลังจากทำอาหารตกแล้วเก็บมากินต่อ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเชื้อโรคที่อยู่บนพื้นมาเร็วกว่า 5 วินาทีแน่นอน แต่อาจมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ความสะอาดของพื้นบริเวณนั้น ประเภทของอาหารที่ตก หรือแม้แต่ผู้ที่รับประทานเอง แบคทีเรียบางประเภททำปฏิกิริยากับอาหารบางประเภทได้ไว หรือถ้าบริเวณนั้นพื้นสกปรกมาก มีแบคทีเรียอยู่แล้ว ก็แทบไม่ต้องรอให้ถึง 5 วินาทีเลย เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็ไม่สามารถรับประทานได้แล้ว ดังนั้น ความเชื่อที่ว่า หากอาหารตกพื้นแล้วยังไม่ถึง 5 วินาที สามารถรับประทานได้ เป็นสิ่งที่ไม่จริง และไม่ควรทำอย่างยิ่ง อาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดีด้วยซ้ำ
10. การรับประทานแครอตทำให้สามารถมองเห็นในเวลากลางคืนได้
เป็นเรื่องจริงที่แครอตสามารถช่วยในเรื่องของการมองเห็น เนื่องจากวิตามิน A ที่อยู่ในแครอตช่วยบำรุงสายตา แต่ทว่าวิตามิน A ในแครอตไม่ได้ช่วยให้คุณสามารถมองเห็นในเวลากลางคืนได้ วิตามิน A เพียงช่วยให้สายตาดีขึ้นเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ต้องมีไฟฉายไว้ส่องในเวลากลางคืน เพราะแค่คุณทานแครอตก็สามารถมองเห็นในเวลากลางคืนได้แล้ว