เป็นเวลาพันกว่าปีมาแล้วที่โยคะถือกำเนิดขึ้น มันเริ่มต้นจากกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มีความสงสัยเกี่ยวกับร่างกายและจิตใจของตัวเอง และมองหาวิถีในการได้มาซึ่งคำตอบ มีหลักฐานทางโบราณคดีมากมายที่บ่งชี้ว่ามันเกิดขึ้นมานานกว่า 2,000 ปีก่อนคริสตกาล นักปราชญ์ชาวฮินดูชื่อ วา ปตัญชลี ได้เป็นผู้เริ่มต้นปรับปรุงและวางรากฐานเป็นคนแรก ๆ รวมถึงแรกเริ่มการเผยแพร่แนวคิดนี้
โยคะเข้าสู่ยุครุ่งเรืองและแพร่ขยายไปทั่วโลก เมื่อชาวตะวันตกนำโยคะและวิถีแห่งการเป็นโยคีมาปรับปรุงให้เข้ากับการออกกำลังกายสมัยใหม่ มุ่งเน้นที่การทำสมาธิ ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ โครงสร้างของกระดูก และเส้นประสาทมากขึ้น จุดประสงค์คือ เพื่อให้การทำงานของร่างกายดีขึ้น ประโยชน์ของการฝึกโยคะที่ถูกต้องตามหลักคือ เพื่อให้ร่างกายทำงานได้อย่างเป็นระบบ สอดคล้องและลื่นไหล รวมถึงปรับการทำงานของร่างกายและจิตใจให้คงที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับการนั่งสมาธิแต่มีการเคลื่อนไหวที่เป็นจังหวะนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงทฤษฎี แต่ความเป็นจริงคือ เราทุกคนล้วนเหมาะกับการฝึกเช่นนี้หรือไม่ หากมองว่าโยคะก็เหมือนกับกีฬาชนิดอื่น ๆ จะได้ความว่าโยคะมีหลายระดับแบ่งตามความยากและง่ายของท่า ดังนั้น ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำทุกท่าได้ดั่งใจ แน่นอนว่ามีข้อกำหนดพื้นฐานเหมือนกับการออกกำลังกายอื่น ๆ ด้วยเช่น หากคุณยังเป็นเด็ก อายุต่ำกว่า 9 ขวบ การฝึกโยคะคงไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม เพราะอาจทำให้บาดเจ็บได้ จึงต้องมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล ส่วนผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปสามารถเล่นได้ไหม คำตอบคือ ได้ พวกเขาสามารถเริ่มฝึกโยคะได้ แต่มันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปเช่นเดียวกัน คงไม่มีใครที่อายุ 70 ปีพยายามทำท่ายากเอาหัวยันพื้น หรือดัดตัว แขน หรือขา มากกว่าที่เคยทำในชีวิตประจำวันตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มฝึก นอกจากนั้นผู้ที่มีอาการบาดเจ็บไม่ว่าจะกระดูก เอ็น หรือกล้ามเนื้อเรื้อรัง ก็ควรระวังในการฝึกโยคะ และจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ปลอดภัยและไม่เกิดอาการบาดเจ็บเพิ่มเติม
โยคะให้อะไรกับร่างกายเราบ้าง จากการศึกษาพบว่า ท่าต่าง ๆ ของโยคะสามารถเพิ่มระดับของสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ และนั่นทำให้เราผ่อนคลาย นอกจากนั้นการฝึกโยคะเป็นประจำยังช่วยลดความกังวลที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์หรือประสบการณ์ที่คุณต้องพบเจอในแต่ละวันด้วย กระบวนการนี้เหมือนกับสิ่งที่คุณจะได้เมื่อคุณทำสมาธินั่นเอง
แม้การศึกษาจะพบว่าการฝึกโยคะอาจจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บกับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่า หากได้รับการฝึกที่ดีพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญหรือครูโยคะที่มีความรู้ความสามารถ อาการบาดเจ็บเหล่านั้นก็จะไม่เกิดขึ้น ประโยชน์จากโยคะและการฝึกสมาธิที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ชัดคือ ผู้ที่ฝึกโยคะหรือทำสมาธิเป็นประจำส่งผลกระทบโดยตรงต่อยีนซึ่งเกี่ยวพันกับความเครียดและความกังวล กล่าวคือมันเปลี่ยนแปลงตัวผู้ฝึกไปในทางที่ดีขึ้นในระดับยีนเลยทีเดียว คุณจะเครียดน้อยลงและผลของมันฝังลึกในยีน
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของโยคะยังพบอีกว่า หากคุณฝึกโยคะเป็นประจำแค่วันละ 12 นาที ยังสามารถควบคุมไม่ให้มวลกระดูกลดน้อยลงได้ และนั่นทำให้คุณแข็งแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุมากขึ้นและกระดูกเริ่มที่จะเสื่อม กล่าวโดยรวมก็คือการฝึกโยคะมีประโยชน์กับร่างกายของคุณพอๆกับการออกกำลังกายอื่นๆแต่มันมีการทำสมาธิเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อย่างนั้นแล้วการฝึกโยคะจึงเหมือนการได้ประโยชน์สองต่อในระยะเวลาที่เท่ากัน การทำเป็นประจำย่อมส่งผลดีต่อร่างกายผู้ฝึก แต่กระนั้นการศึกษาและเรียนการฝึกโยคะกับผู้เชี่ยวชาญและมีความรู้จะช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นและเรียนรู้อย่างเป็นระดับขั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียนและความเหมาะสมกับความต้องการและสภาพร่างกายแต่ละคน