โดยทั่วไป เราถูกสอนให้บวกและลบเลขจากหลักหน่วย หลักสิบ หลักร้อย หลักพันไปเรื่อย ๆ กล่าวคือ จากหลักเล็ก ๆ ไปหลักใหญ่หรือจากขวาไปซ้าย แต่สำหรับการคิดเลขในใจแล้ว การคำนวณจากซ้ายไปขวาหรือเริ่มจากเลขที่มีค่ามากที่สุดนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายกว่า เช่น 39+54 สามารถคำนวณในใจได้โดยการบวกตัวเลขในหลักสิบก่อน คือ 30+50 = 80 จากนั้นจึงบวกตัวเลขในหลักหน่วย คือ 9+4 = 13 และนำผลลัพธ์ที่ได้ทั้งหมดมารวมกันอีกที คือ 80+13 = 93
เมื่อต้องคำนวณตัวเลขจำนวนมาก ๆ ในใจ วิธีที่ทำให้มันง่ายขึ้นก็คือ การปรับค่าตัวเลขให้เป็นเลขจำนวนเต็มของหลักใดหลักหนึ่ง เช่น 794+230 ให้นำ 794 บวกด้วย 6 ก่อน จะได้ 800 จากนั้นจึงนำไปบวกกับ 230 ซึ่งเขียนได้เป็น 800+230 = 1,030 จากนั้นจึงค่อยนำ 6 มาลบออกไป จะได้คำตอบที่ถูกต้องคือ 1,024
ค่าการหารเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการคิดเลขในใจ เพราะบางครั้งการหารก็ไม่ลงตัวและทำให้เหลือเป็นเลขเศษส่วนหรือทศนิยม ซึ่งหากเราจดจำตารางค่าการหารที่ใช้บ่อยได้ เราก็จะสามารถตอบโจทย์ง่าย ๆ ที่อาจจะซ่อนอยู่ในโจทย์ที่มีความซับซ้อน ซึ่งช่วยให้การทำโจทย์ข้อนั้น ๆ เร็วขึ้นได้ โดยค่าการหารที่ใช้บ่อยและควรจดจำมีดังนี้
เลขเศษส่วน | เลขทศนิยม | เปอร์เซ็นต์ |
1/2 | 0.5 | 50% |
1/3 | 0.333... | 33.333% |
2/3 | 0.666... | 66.666% |
1/4 | 0.25 | 25% |
3/4 | 0.75 | 75% |
1/5 | 0.2 | 20% |
2/5 | 0.4 | 40% |
3/5 | 0.6 | 60% |
4/5 | 0.8 | 80% |
1/6 | 0.1666... | 16.666...% |
5/6 | 0.8333... | 83.333...% |
- เคล็ดลับที่ง่ายและชัดเจนที่สุดสำหรับการคูณก็คือ จำนวนใด ๆ ที่คูณด้วย 10 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับจำนวนนั้น ๆ เติมศูนย์ที่ท้ายจำนวน เช่น 78x10 = 780 หรือ 32x10 = 320
- จำนวนใด ๆ ที่คูณด้วย 5 จะได้คำตอบเป็นจำนวนที่ลงท้ายด้วยเลข 0 หรือ 5 เสมอ
- การคูณจำนวนใด ๆ ด้วย 5 เราสามารถหาคำตอบอย่างง่ายได้โดยคูณจำนวนนั้นด้วย 10 ก่อน แล้วจึงนำมาหาร 2 เช่น 5x612 = 6120/2 = 3060
ในการคำนวณโจทย์คณิตศาสตร์หลาย ๆ ข้อ มักมีเลขยกกำลังเข้ามาเกี่ยวข้อง และมันเป็นความคิดที่ดีที่คุณจะจดจำตัวเลขยกกำลังในแบบสำเร็จรูปเพื่อการคำนวณที่รวดเร็วขึ้น เช่น 23x22 หากเราจำได้ว่าเลขยกกำลังสองของ 23 เท่ากับ 529 เราก็สามารถนำ 529 - 23 ได้เลย ซึ่งคำตอบจะได้เป็น 506
จำนวน | เลขยกกำลังสอง |
1 | 1 |
2 | 4 |
3 | 9 |
4 | 16 |
5 | 25 |
6 | 36 |
7 | 49 |
8 | 64 |
9 | 81 |
10 | 100 |
11 | 121 |
12 | 144 |
13 | 169 |
14 | 196 |
15 | 225 |
16 | 256 |
17 | 289 |
18 | 324 |
19 | 361 |
20 | 400 |
21 | 441 |
22 | 484 |
23 | 529 |
24 | 576 |
25 | 625 |
ในโจทย์ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยตัวเลขมากกว่า 1 จำนวน เราสามารถแยกตัวเลขเหล่านั้นออกมาเป็นหลายจำนวนได้โดยให้อยู่ในรูปที่คำนวณง่ายขึ้น เช่น จำนวนใด ๆ คูณด้วย 12 จะเป็นการเพิ่มขึ้นของจำนวนนั้น 10 เท่าบวกกับจำนวนนั้นคูณด้วย 2 เช่น 6x12 สามารถแยกได้เป็น (6x10)+(6x2)= 60+12 = 72 หรือ 6x(12+23) สามารถแยกได้เป็น (6x12)+(6x20)+(6x3) = 72+120+18 = 210 จะสังเกตได้ว่าเราสามารถนำกฎการบวก การลบ การคูณ และการหาร มาใช้เพื่อให้สามารถคำนวณตัวเลขรวดเร็วขึ้นได้
เมื่อคำนวณตัวเลขที่มีจำนวนสูง ๆ ในใจ เราสามารถเปลี่ยนพวกมันให้อยู่ในรูปสัญลักษณ์ได้ ตัวอย่างเช่น 44,000,000,000/400,000 เราสามารถเปลี่ยนตัวเลข 44,000,000,000 ให้เป็น 44x109 ส่วนตัวเลข 400,000 สามารถเปลี่ยนให้อยู่ในรูป 4x105 ซึ่งแยกได้เป็น 44/4 และ 109/105 จะได้ 11x104 หรือ 110,000 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กฎการหารเลขยกกำลังทำให้เราคำนวณตัวเลขจำนวนสูง ๆ ได้ง่ายขึ้น
เมื่อมีการบวกและลบโดยท้ายจำนวนเป็นเลข 0 ทั้งสองจำนวนในโจทย์ เราสามารถตัดเลข 0 ออกไปก่อนสำหรับการคำนวณตัวเลขในใจได้ แล้วค่อยนำกลับมาเติมในภายหลัง เช่น 350-40 เมื่อตัดเลข 0 ที่ท้ายจำนวนในโจทย์ออกไปก่อนการคำนวณ จะได้เป็น 35-4 =31 จากนั้นจึงนำเลข 0 ใส่กลับเข้าไป จะได้คำตอบเป็น 310 หรือ 800+300 เมื่อตัดเลข 0 ที่ท้ายจำนวนในโจทย์ออกไปก่อนการคำนวณ จะได้เป็น 8+3 = 11 จากนั้นจึงนำเลข 0 ใส่กลับเข้าไป จะได้คำตอบเป็น 1,100
ในกรณีที่ต้องการคำนวณเปอร์เซ็นต์ หากเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ลงท้ายด้วยเลข 0 จะสามารถใช้วิธีเลื่อนจุดทศนิยมได้ เช่น เมื่อคำนวณค่าทิป 10% ของราคาอาหาร 1,387.25 บาท ให้ย้ายจุดทศนิยมไปทางซ้าย 1 จุด ก็จะได้ 138.725 บาท หรือถ้าต้องการคำนวณ 15% ของ 40 ก็สามารถแยกคำนวณ 10% ของ 40 ก่อน ซึ่งจะได้ 4 จากนั้นจึงคำนวณอีก 5 % ที่เหลือ แต่ 5% เป็นครึ่งหนึ่งของ 10% จึงกล่าวได้ว่า 5% ของ 40 จะเท่ากับ 2 เมื่อนำ 4+2 ก็จะได้คำตอบเป็น 6 ซึ่งก็คือ 15% ของ 40 นั่นเอง