เลขวันที่ในภาษาอังกฤษเขียนแบบเดียวกับการนับลำดับที่ ซึ่งการเขียนแบบนี้ เรียกกันว่า Ordinal Number เป็นการนับเลขไปตามลำดับซึ่งจะใช้กับการนับวัน การนับชั้นในอาคาร หรือการนับลำดับตำแหน่งต่าง ๆ การนับแบบนี้จะพิเศษในส่วนของตัวเลขสามลำดับแรก ได้แก่
ลำดับที่ 1 First 1st
ลำดับที่ 2 Second 2nd
ลำดับที่ 3 Third 3rd
ลำดับที่เหลือนอกจากนี้ จะลงท้ายด้วย th เช่น fourth (4th), fifth (5th), sixth (6th) ไปเรื่อย ๆ ยกเว้นการนับลำดับที่ลงท้ายด้วย 1, 2, 3 นับตั้งแต่ลำดับที่ 21 ขึ้นไปค่ะ
การเขียนเดือนในภาษาอังกฤษนั้น จะมีทั้งการเขียนเดือนแบบเต็ม ซึ่งก็เป็นเรื่องไม่ยาก จัดเต็มกันไปเลย และการเขียนแบบย่อ ซึ่งการเขียนแบบย่อนี้เองที่ทำให้หลายคนงุนงงกันได้ หลักการเขียนเดือนแบบย่อนั้นง่ายมาก ก็คือ การนำเอาอักษรตัวหน้าสามตัวแรกของคำเต็มแบบเดือนมาใช้นั่นเอง ดังเช่นตัวอย่างต่อไปนี้
January ย่อว่า Jan
February ย่อว่า Feb
March ย่อว่า Mar
ดังนี้เป็นต้น อาจดูการย่อจากหน้าปฏิทินเป็นตัวอย่างได้ค่ะ
การเขียนวันที่ในภาษาอังกฤษจะใช้คริสต์ศักราชเป็นหลัก ปีคริสต์ศักราชจะช้ากว่าปีพุทธศักราชอยู่ 543 ปี เพราะฉะนั้น หากต้องการคำนวณหา ค.ศ. จาก พ.ศ. ต้องนำ พ.ศ. ลบ 543 และหากต้องการหา พ.ศ. ให้นำ ค.ศ. บวก 543 นั่นเอง ดังตัวอย่างต่อไปนี้
พ.ศ. 2539 คิดเป็น ค.ศ. คือ 2539 - 543 คิดเป็น ค.ศ. 1996
ค.ศ. 2018 คิดเป็น พ.ศ. คือ 2018 + 543 คิดเป็น พ.ศ. 2561
การเขียนวันที่เป็นภาษาอังกฤษนั้น จะมีอยู่สองแบบคือ แบบอังกฤษ และแบบอเมริกัน ซึ่งหากใครคุ้นแบบไหนก็สามารถใช้แบบนั้นได้ ไม่ผิด หากแต่ แบบอังกฤษอาจจะคุ้นตาคนไทยเรามากกว่า เพราะการเขียนวันที่แบบอังกฤษจะเรียงลำดับ วัน-เดือน-ปี เหมือนของไทย แต่ แบบอเมริกันจะเรียงลำดับเป็น เดือน-วัน-ปี เช่น 9 ม.ค. 2561 เขียนได้ดังนี้
|
แบบอังกฤษ /Day-Month-Year |
แบบอเมริกัน/ Month-Day-Year |
แบบเป็นทางการ |
The ninth of January, 2018 |
January the ninth, 2018 |
แบบไม่เป็นทางการ |
9/1/2018 |
1/9/2018 |