ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว สตีฟ จ็อบส์ เปิดตัวไอโฟนรุ่นแรกในงาน Macworld conference ในฐานะสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมหน้าจอขนาด 3.5 นิ้ว แถมขอบเครื่องหนาเตอะ จวบจนเวลาล่วงเลยมา 1 ทศวรรษ ก็มาถึงเทรนด์ของสมาร์ทโฟนในวันที่ทุกแบรนด์มือถือบนโลกต่างปรับดีไซน์หันมาทำมือถือหน้าจอใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นหน้าจอแบบไร้ขอบทั้งหมด
ในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนดีไซน์ไร้ขอบเป็นการออกแบบที่กำลังมาแรง แบรนด์ใหญ่ๆ หลายแบรนด์ต่างก็ทยอยเปิดตัวสมาร์ทโฟนไร้ขอบกันไปแล้วหลายรุ่น ซึ่งราคาโทรศัพท์ล่าสุดก็สามารถจับต้องได้ไม่แพงเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน เทรนด์นี้ก็อาจจะส่งผลให้สมาร์ทโฟนมีราคาแพงขึ้นไปด้วย เพราะตอนนี้อุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนหน้าจอ
ปัญหานี้เริ่มส่งสัญญาณชัดเจนในกรณีของ iPhone X ที่ทำยอดผลิตต่อวันได้น้อยมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะซัพพลายเออร์จัดส่งชิ้นส่วนหน้าจอ OLED ให้ไม่ทันตามกำหนด ที่สำคัญคือจอ OLED ของ iPhone X ต้องได้รับการตัดแต่งเป็นพิเศษให้เข้ากับดีไซน์ตัวเครื่อง ทำให้มีขั้นตอนการผลิตเพิ่มขึ้น และใช้เวลามากขึ้น ไม่ใช่แค่ Apple เท่านั้นที่ต้องการหน้าจอออกแบบพิเศษสำหรับสมาร์ทโฟนของตัวเอง แต่แบรนด์อื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน เพราะสมาร์ทโฟนดีไซน์ไร้ขอบมักจะมีอัตราส่วนหน้าจอที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น 18:9, 18.5:9 เป็นต้น ไม่ได้มีไซส์มาตรฐาน 16:9 เหมือนๆ กันทุกรุ่นอย่างที่ผ่านมา ผู้ผลิตหน้าจอจึงไม่สามารถผลิตออกมาล็อตใหญ่แล้วส่งขายทีเดียวหลายๆ เจ้าได้ เพราะต้องนำมาตัดแต่งรูปทรงให้เข้ากับสมาร์ทโฟนรุ่นนั้นๆ โดยเฉพาะ
แน่นอนว่านอกจากจะทำให้กระบวนการผลิตยุ่งยากและกินเวลานานขึ้นแล้ว ต้นทุนการผลิตหน้าจอก็เพิ่มขึ้นด้วย กระทบถึงราคา สมาร์ทโฟน ที่ต้องขยับขึ้นตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หากปีหน้าเราจะได้เห็นสมาร์ทโฟนไร้ขอบระดับไฮเอนด์ราคา 30,000+ กันมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เท่านั้น ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอาจหาวิธีคงเพดานราคาเอาไว้ได้ด้วยการลดต้นทุนส่วนอื่น หรือใช้กลยุทธ์ทางการตลาดบางอย่าง ซึ่งก็ต้องรอดูท่าทีกันต่อไป
ที่มา techmoblog .com