การทดลองซึ่งเป็นที่โจษขานมากที่สุด คือ การทดลองชั่งน้ำหนักวิญญาณ โดยมีการชั่งน้ำหนักคนก่อนตายและหลังตาย พบว่าหลังจากตายแล้ว น้ำหนักหายไป 21 กรัม จึงสรุปว่า วิญญาณเราหนัก 21 กรัม แม้จะมีการออกมาแฉแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็ยังมีคนเชื่ออยู่ เพราะถ้าหากมันมีน้ำหนัก 21 กรัมจริง ๆ ก็แปลว่าวิญญาณมีอยู่จริงนั่นเอง
ชีวิตและความตายเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงและเกิดขึ้นกับใครก็ได้ เมื่อไรก็ได้ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในคำสอนทุกศาสนา แต่อาจจะต่างกันในแง่การมีตัวตน คำที่ใช้หรือความหมายโดยนัย แต่สิ่งที่แน่นอนคือ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความตายเป็นสิ่งสากล มันเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะญาติ เพื่อน คนร่วมงาน หรือคนรู้จักห่าง ๆ และท้ายที่สุดคือตัวคุณเองด้วย แต่ที่ไม่สากลคือเรื่องราวหลังความตาย อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากที่เราตายแล้วบ้าง
ในแง่วิทยาศาสตร์ ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ในไม่กี่วินาทีหลังจากที่คุณตายไป ออกซิเจนที่ค้างอยู่ในระบบทางเดินหายใจของคุณก็จะค่อย ๆ ถูกปล่อยออกมาผ่านทางจมูกและปาก เป็นช่วงเวลาที่หลาย ๆ คนอาจจะเห็นและตกใจว่าร่างของผู้ตายหรือศพนั้นเหมือนกำลังถอนหายใจ อันที่จริงเมื่อกล้ามเนื้อต่าง ๆ ในช่วงอกคลายตัว มันก็ไม่มีอะไรรั้งให้อากาศอยู่ในร่างกายอีกต่อไป หลังจากนั้นระบบเซลล์ต่าง ๆ ที่เริ่มขาดออกซิเจนเนื่องจากระบบหมุนเวียนเลือดและหัวใจหยุดทำงาน จึงไม่มีเลือดหมุนเวียนในร่างกายอีกต่อไป เซลล์ต่าง ๆ จะไม่ได้รับออกซิเจนรวมถึงพลังงานไปใช้ ในที่สุดเซลล์ก็จะหยุดทำงานลง
สมองของคนเราประกอบด้วยเซลล์ประสาทหรือเซลล์สมองจำนวนมาก และในส่วนนี้เองที่จำเป็นต้องใช้ออกซิเจนและโมเลกุลน้ำตาลเป็นเชื้อเพลิงในการทำงานอยู่ตลอดเวลา สมองของคนเราสามารถขาดออกซิเจนได้เพียง 4 นาทีเท่านั้น มิฉะนั้นก็จะตาย หรือหากกลับมาได้รับออกซิเจนอีกครั้งก็ไม่อาจจะทำงานได้ตามปกติเหมือนเดิม ผู้ที่ขาดออกซิเจนเป็นเวลานานอาจจะนอนเป็นผัก เป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายนิทราบนเตียงในโรงพยาบาล ขณะที่เซลล์อื่น ๆ ของร่างกายสามารถขาดเลือดหรือออกซิเจนได้นานกว่านั้น ยกตัวอย่างเช่น การปลูกถ่ายอวัยวะ หรือการต่ออวัยวะที่ขาด สามารถทำได้และมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงหากอวัยวะนั้นยังอยู่ในความเย็นระดับหนึ่ง ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการปั๊มเลือดที่มีออกซิเจนไปยังอวัยวะเหล่านั้นในระหว่างขนส่งแต่อย่างใด
หลังจากผ่านไปสัก 5-10 นาที พลังงานที่สะสมอยู่ในเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกายในรูปแบบของ ATP ถูกใช้ไปหมดแล้ว และเซลล์ก็จะเริ่มตายไปหมด กล้ามเนื้อจะเริ่มคลายตัว นั่นรวมถึงกล้ามเนื้อหูรูดทั้งหมด ซึ่งจะทำให้คนคนนั้นปัสสาวะ อุจจาระ หรือแม้แต่อาเจียนออกมาได้ แม้ว่าคนคนนั้นจะกลายเป็นศพไปแล้วก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่น่าตกใจแต่อย่างใด ต่อจากนั้นผิวหนังจะเริ่มซีดลงเนื่องจากไม่มีเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงผ่านเส้นเลือดฝอยต่าง ๆ อีกต่อไป แต่เลือดที่ไปคั่งอยู่ที่บางส่วนของร่างกาย เช่น หลัง ในกรณีที่ศพนอนหงาย ก็จะทำให้หลังมีสีม่วงช้ำเหมือนตอนบาดแผลถูกกระแทกเมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง
ร่างกายจะเริ่มแข็งตัวในช่วง 3-6 ชั่วโมงหลังการตาย เนื่องจากการเสื่อมสลายของเซลล์จะปลดปล่อยแคลเซียม ซึ่งจะไปเกาะตัวกับเซลล์กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่หดหรือยืดตัว ทำให้มันไม่สามารถขยับได้ ศพจึงแข็งตัว ในช่วงที่เซลล์เริ่มตายลง ศพก็จะเสื่อมสลายทั้งจากภายในและภายนอก แบคทีเรียและจุลชีพต่าง ๆ ที่อยู่ในระบบต่าง ๆ ของร่างกายจะเริ่มทำงานอย่างไม่หยุดยั้ง ประกอบกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกายหยุดทำงานไปพร้อม ๆ กับการสิ้นชีวิต ยิ่งทำให้แบคทีเรียต่าง ๆ สามารถกัดกิน ย่อยสลาย และทำงานของมันได้เต็มที่
ยังมีความเชื่อแปลก ๆ ที่อาจจะทำให้เข้าใจผิดว่าศพนั้นยังมีชีวิตอยู่ เช่น ริ้วรอยที่หายไป ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อต่าง ๆ คลายตัว ผมหรือเล็บที่งอกยาวขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วเกิดจากการหดตัวของผิวหนังและกล้ามเนื้อทำให้ดูเหมือนเล็บและผมงอกเพิ่มขึ้นมา หรือแม้แต่ท้องที่ป่องขึ้นทำให้ดูเหมือนยังมีชีวิต ซึ่งเกิดจากแก๊สที่เป็นผลจากการทำงานของแบคทีเรียที่อยู่ในระบบทางเดินอาหารในร่างกาย
การย่อยสลายของเซลล์ต่าง ๆ จะยังดำเนินต่อไปยาวนานเป็นปี เพื่อเปลี่ยนเอาส่วนต่าง ๆ ของเซลล์ ของอวัยวะ ของร่างกาย ให้กลับกลายเป็นสารอาหาร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ขั้นตอนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่วินาทีที่ร่างกายหยุดทำงาน หลังผ่านไป 4 นาทีแรก ผ่านไป 10 นาทีแรก จน 6 ชั่วโมงแรก ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีการขัดขวางโดยสารเคมีหรือกรรมวิธีอื่น ๆ ที่ถูกใช้เพื่อรักษากายหยาบนี้ไม่ให้เน่าสลาย กระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นขั้นตอนเหล่านี้ทำให้นิติวิทยาศาสตร์หรือหน่วยงานทางการแพทย์ที่ทำงานพิสูจน์ศพต่าง ๆ สามารถบอกเวลาที่เสียชีวิตได้อย่างแม่นยำ