ทั้ง Be going to และ will นั้น แสดงความตั้งใจของผู้พูดที่จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งในอนาคตอยู่แล้วในระดับเท่า ๆ กัน อาจแตกต่างกันบ้างที่ Be going to มีการวางแผนมาก่อน ส่วน will ไม่ได้วางแผนมาก่อนแต่ก็คิดว่าจะทำ มาดูตัวอย่างรูปประโยคกันค่ะ
I will go to school tomorrow.
ฉันจะไปโรงเรียนวันพรุ่งนี้ (ว่าจะไปแน่นอน แต่ไม่ได้มีการวางแผนมาก่อน)
I’m going to go to school tomorrow.
ฉันจะไปโรงเรียนวันพรุ่งนี้ (ตั้งใจจะไปอย่างแน่นอน วางแผนว่าจะต้องไป)
จะเห็นได้ว่า ทั้งสองประโยคมีความหมายเหมือน ๆ กัน และมีความมั่นใจว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์ที่พูดขึ้นในอนาคต 100 เปอร์เซ็นต์
เรารู้กันอยู่แล้วว่า Probably มีความหมายว่า อย่างน่าจะเป็นไปได้ อย่างค่อนข้างแน่ เมื่อใส่คำขยายกริยาคำนี้เข้าไปในประโยค ก็จะทำให้ความมั่นใจเกี่ยวกับเรื่องในอนาคตที่จะทำลดลงนิดหน่อยเหลือ 90 เปอร์เซ็นต์ มาดูรูปประโยคกันค่ะ
He will probably go to school tomorrow.
หรือ He is probably going to go to school tomorrow.
(เขาน่าจะไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้ค่อนข้างแน่)
ข้อสังเกต : จะเห็นได้ว่า ในรูปประโยคบอกเล่า เราจะใช้รูป กริยาช่วย + probably
He probably won’t go to school tomorrow.
หรือ He probably isn’t going to go to school tomorrow.
(เขาน่าจะไม่ได้ไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้ค่อนข้างแน่ (ผู้พูดค่อนข้างแน่ใจถึง 90 เปอร์เซ็นต์))
ข้อสังเกต : จะเห็นได้ว่า ในรูปประโยคปฏิเสธ เราจะใช้รูป probably + กริยาช่วย
เมื่อเราใช้ Maybe ซึ่งมีความหมายว่า บางที อาจจะ จะแสดงให้เห็นว่าประโยคอนาคตที่พูดนั้นน่าจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้นในอนาคตก็ได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า ผู้พูดมั่นใจแค่ 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น (ทบทวนเรื่อง Maybe ได้ใน May be และ Maybe ต่างกันอยู่นะรู้ยัง) มาดูรูปประโยคตัวอย่างกันค่ะ
Maybe she will go to school, and maybe she won’t.
หรือ Maybe she is going to go to school, and maybe she isn’t.
ทั้งสองประโยคมีความหมายเดียวกันคือ เธออาจจะไปโรงเรียน หรือเธออาจจะไม่ไป
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าทั้งสองประโยคมีความเป็นไปได้ที่จะทำหรือไม่ทำทั้งสองเงื่อนไขเท่า ๆ กันค่ะ