ได้แก่ ตา สำหรับการเห็น จมูก สำหรับรับกลิ่น ลิ้น สำหรับรับรส หู สำหรับการฟัง และผิวหนัง รับความรู้สึก ทั่วไป ได้แก่ เจ็บ สัมผัส กด ร้อน เย็น
เป็นอวัยวะสำหรับการเห็นภาพ แสง สีประกอบด้วย ลูกตา (eye ball) และหนังตา เยื่อบุตา และอวัยวะสำหรับการหลั่งน้ำตา
ลูกตา เป็นรูปกลม อยู่ในส่วนหน้าของเบ้าตา แต่ไม่กลมทีเดียว วัดจากหน้าไปหลัง วัดตามขวาง และวัดตามสูงได้เกือบเท่ากัน ยาวประมาณ ๒.๕ เซนติเมตร ปริมาตรประมาณ ๘ มิลลิลิตร หญิงมีลูกตาใหญ่กว่าชายเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว หรือเทียบกับขนาดของเบ้าตา ลูกตาของทารกก็ใหญ่กว่าผู้ใหญ่ เมื่อเทียบกับขนาดของเบ้าตา
ผนังของลูกตาประกอบด้วยผนังโดยรอบ ๓ ชั้น คือ ชั้นนอก (fibrous coat) เป็นพังผืด แข็ง ชั้นกลาง (vascular coat) เป็นชั้นหลอดเลือดขนาดเล็กปะปนกับเซลล์สี (pigmented cells) บางส่วนเป็นกล้ามเนื้อเรียบ และชั้นใน เป็นชั้นประสาท
ชั้นนอก แบ่งได้เป็นส่วนทึบแสงทางข้างหลัง เรียกว่า สเคลอรา (sclera) กับส่วนที่โปร่งแสงทางข้างหน้า เรียกว่า คอร์เนีย (cornea)
สเคลอรา มีประมาณ ๕ ใน ๖ ของลูกตา มีสีขาว แข็ง และมีสีน้ำเงินอ่อนในทารก แต่ในผู้ใหญ่และคนชราจะมีสีเหลือง หนาประมาณ ๐.๕-๐.๖ มิลลิเมตร ชาวบ้านเรียกว่า ส่วนตาขาว
คอร์เนีย มีประมาณ ๑ ใน ๖ ของลูกตา เป็นส่วนใส หนากว่าสเคลอราเล็กน้อย และโค้งมากกว่าสเคลอรา ในคน หนุ่มสาว ส่วนนี้จะโค้งมากกว่าในคนชรา ถ้าความโค้งผิดปกติ หรือไม่เท่ากัน จะทำให้มองเห็นไม่ชัด เรียกว่า สายตาเอียง
คอร์เนีย ต่อกับ สเคลอรา ตรงรอยต่อที่เห็นได้จาก ภายนอก ตรงขอบตาดำต่อกับตาขาว
ชั้นกลาง เป็นชั้นที่ประกอบด้วยหลอดเลือดขนาดเล็ก หลอดเลือดฝอย และมีเซลล์ที่มีสี ทำให้เกิดเป็นชั้นสีดำ ทางส่วน หลัง แนบชิดกับด้านในของสแคลอรา เรียกว่า คอรอยด์ (choroid) ทางส่วนหน้าใกล้กับรอยต่อของคอร์เนีย และ สเคลอรา จะดัดแปลงเป็น ซิลิอารีบอดี (ciliary body) และ ม่านตา (Iris)
ซิลิอารีบอดี แบ่งได้เป็น ๓ เขต คือ เขต ๑ เป็นเขต เรียบกว้างประมาณ ๔ มิลลิเมตร ต่อจากคอรอยด์ เขต ๒ เป็น เขตที่มีสันนูนชัดเจน เรียงเป็นรัศมีโดยรอบขอบของม่านตา กว้าง ๒ มิลลิเมตร อยู่ระหว่าง เขต ๑ กับขอบของม่านตา เขต ๓ ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียงตัวโดยรอบ และเป็นรัศมี เมื่อกล้ามเนื้อนี้หดตัวจะทำให้เอ็นยึดเลนส์ และเลนส์ของลูกตา หย่อน จึงเกี่ยวกับการเพ่งให้เห็นชัด
ม่านตา เป็นเยื่ออยู่หน้าเลนส์ ตรงกลางมีรูกลม เรียกว่า รูม่านตา (pupil)
ม่านตาหนาเกือบเท่ากันตลอด ขอบนอกของม่านตา ติดต่อกับ ซิลิอารีบอดี สีของตาจึงขึ้นอยู่จำนวนเม็ดสีภาย ในม่านตา ในชนเชื้อชาติยุโรป มีเม็ดสีในม่านตาน้อย หรือไม่มีเม็ดสีเลย ตาจึงมีสีฟ้าหรือเทา ในชนเชื้อชาติเอเชีย มีเม็ดสีในม่านตา มาก ตาจึงมีสีดำ
ภายในม่านตา มีกล้ามเนื้อเรียบ ควบคุมให้รูม่านตา แคบลงหรือกว้างขึ้นได้ ในขณะที่ตื่นอยู่ จะมีการเปลี่ยนแปลง ขนาดของรูม่านตาตลอดเวลา เพื่อควบคุมจำนวนแสงที่เข้าสู่ลูกตา
ชั้นใน เป็นชั้นประสาท เรียกว่า เรตินา ประกอบเป็น ชั้นบางและนุ่ม ประกอบด้วยเซลล์ประสาท เส้นใยประสาท และเซลล์รับแสง (rod and cone cells) เส้นใยประสาทจากชั้นนี้ จะออกทางปลายหลังของลูกตาไปสู่สมอง เพื่อแปลเป็นภาพ แสง และสีต่างๆ
ชั้นประสาทของลูกตานี้ โปร่งแสงตลอดชีวิต มีสีม่วงอ่อน แต่ภายหลังตายไม่นานก็จะทึบแสงและมีสีเทา
คลื่นแสงที่จะผ่านไปถึงเรตินา ต้องผ่านสิ่งต่างๆ ที่มี ความหนาแน่นแตกต่างกัน เช่น คอร์เนีย สารน้ำ (aqueous humour) เลนส์ และสารวุ้น (vitous body) เหล่านี้ประกอบเป็น ตัวกลางหักเหแสง (refracting media) ของลูกตา และอยู่ภาย ในลูกตา
สารน้ำ มีดัชนีหักเห ๑.๓๓๖ ประกอบด้วยน้ำ ๙๘% โซเดียมคลอไรด์ ๑.๔๑% และ อัลบูมิน (albumin) เล็กน้อย อยู่ระหว่างคอร์เนีย กับ เลนส์
เลนส์ อยู่หลังม่านตา มีรูปร่างคล้ายกระจก กลมนูน โค้ง ใส โปร่งแสง ตรงกลางหนาประมาณ ๔ มิลลิเมตร เส้นผ่าน ศูนย์กลางประมาณ ๙-๑๐ มิลลิเมตร ทางด้านหลังโค้งมาก กว่าด้านหน้า ความโค้งของเลนส์โดยเฉพาะทางด้านหน้าจะ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในขณะมีชีวิต เพื่อควบคุมให้ภาพตกลง บนเรตินา สำหรับการมองให้เห็นชัด
ในทารก เลนส์จะนุ่มและมีสีชมพูอ่อน ในคนชราจะมี ลักษณะแข็งขึ้น แบนขึ้น และมีสีเหลืองอ่อน จึงทำให้การมอง เห็นชัดค่อยๆ ลดสมรรถภาพลงเรื่อยไปตามอายุ เรียกว่า สายตา ยาว (presbyopia) บางทีเลนส์ในคนชราขุ่นและทึบแสง เรียกว่า ต้อกระจก (cataract)
สารวุ้น เป็นของเหลว เหนียว ใส โปร่งแสง อยู่ใน ลูกตาระหว่างเลนส์ กับ เรตินา
มีเปลือกตาบนและล่างเคลื่อนไหวได้ อยู่หน้าลูกตา หนังตาบนใหญ่กว่า และเคลื่อนไหวได้มากกว่า โดยการดึงของกล้ามเนื้อดึงหนังตาบน ช่องระหว่างหนังตา วัดตามขวางประมาณ ๓๐ มิลลิเมตร แต่ก็แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และแต่ละเชื้อชาติ เมื่อลืมตา ช่องระหว่างหนังตาเป็นรูปรี เมื่อหลับตาในขณะนอนหลับ มันเป็นเพียงร่องตามขวาง ปลายทั้งสองของเปลือกตาบน และล่างมาจดกัน เรียกว่า มุมหัวตา และมุมหางตา
ขอบของเปลือกตา แบน เรียบ และที่ขอบหน้ามีขนตา งอกออกมา และหลังขนตามีรูเปิดของต่อมเปลือกตา (tarsal gland) เรียงเป็นแถว ประมาณ ๖ มิลลิเมตร จากมุมหัวตาของ เปลือกตา มีรอยนูนเป็นปุ่ม เรียกว่า ปุ่มน้ำตา และที่ยอดของ ปุ่มนี้มีรูเปิดเล็กๆ ของท่อน้ำตาจากปุ่มนี้ถึงมุมหัวตา ขอบเปลือกตา จะกลมแบน และไม่มีขนตา
ภายในแต่ละเปลือกตา มีแผ่นเนื้อเยื่อพังผืดค่อนข้างแข็ง เรียกว่า แผ่นเปลือกตา (tarsal plate) แผ่นเปลือกตาอันบน ใหญ่กว่า คล้ายครึ่งรูปไข่ ซึ่งขอบล่างหนาและตรง แต่ขอบบน โค้ง แผ่นเปลือกตาอันล่าง มีลักษณะเป็นแถบแคบๆ กว้างเท่ากัน โดยตลอด ประมาณ ๕ มิลลิเมตร ภายในแผ่นเปลือกตานี้มีต่อม เปลือกตาเรียงเป็นแถวประมาณ ๒๐-๓๐ ต่อม ซึ่งมีรูเปิดอยู่ หลังต่อมขนตา
หน้าแผ่นเปลือกตา เป็นกล้ามเนื้อลายบางๆ เพื่อใช้ใน การหลับตา และมีผิวหนังคลุมกล้ามเนื้ออีกชั้นหนึ่ง ผิวหนังของ เปลือกตาค่อนข้างบาง และเยื่อใต้หนังค่อนข้างหลวม และ ไม่มีไขมัน
เยื่อบุตา
เป็นเยื่อบุบางๆ บุด้านลึกของเปลือกตา และติดกันแน่น และยังคลุมด้านหน้าของลูกตาส่วนสเคลอราด้วยอย่างหลวมๆ รอยพับระหว่างเยื่อบุตาของเปลือกตา และของด้านหน้าลูกตา เรียกว่า ฟอร์นิกซ์ (fornix)
ได้แก่ ต่อมน้ำตา หลอดน้ำตา และถุงน้ำตา
ต่อมน้ำตา
ขนาดประมาณปลายนิ้วมือ อยู่ในเบ้าตาตรงมุมบนใกล้ริม และยื่นไปถึงมุมหางตา มีท่อเล็กๆ ประมาณ ๓-๔ ท่อ ไปเปิดสู่ฟอร์นิกซ์บนเยื่อบุตา เพื่อทำให้ตาชุ่มชื้นอยู่เสมอ และยังช่วยชะล้างฝุ่นละออง และสิ่ง แปลกปลอมที่เข้าตา
หลอดน้ำตา
เป็นหลอดเล็กๆ อยู่ในเปลือกตาบนและล่าง เหนือและล่างมุมหัวตา เริ่มต้นจากรูที่ยอดของปุ่มน้ำตายาวประมาณ ๑๐ มิลลิเมตร ทอดไปสู่ถุงน้ำตา จึงเป็นทางระบายน้ำตาด้านหน้าของลูกตาไปสู่ถุงน้ำตา
ถุงน้ำตา
อยู่หลังผิวหนังบริเวณระหว่างมุมหัวตาของเปลือกตากับดั้งจมูก จากถุงน้ำตามีท่อยาวประมาณ ๑๘ มิลลิเมตร กว้าง ๓-๔ มิลลิเมตร ไปเปิดสู่ช่องจมูกส่วนหน้า ในขณะร้องไห้ ต่อมน้ำตาจะหลั่งน้ำตาออกมามาก บางส่วนก็ล้นไปสู่แก้ม บางส่วนผ่านหลอดน้ำตา ถุงน้ำตา ไปตามท่อสู่โพรงจมูก น้ำตา และน้ำมูกรวมกันเป็นขี้มูกโป่ง
เป็นอวัยวะสำหรับการฟัง และการทรงตัว หูประกอบ ด้วย ๓ ส่วน คือ หูส่วนนอก หูส่วนกลาง และหูส่วนใน
หูส่วนนอก
ประกอบด้วยใบหูและรูหู
ใบหู ยื่นเป็นมุมประมาณ ๓๐ องศา จากด้านข้างของศีรษะ แกนกลางของใบหูเป็นกระดูกอ่อนชนิดยืดหยุ่นได้ (elastic) ชิ้นเดียว หุ้มด้วยผิวหนังทั้งสองด้าน ยกเว้นติ่งหู ไม่มีกระดูกอ่อน มีแต่เยื่อพังผืด และไขมันหลวมๆ กระดูกอ่อนนี้ ไม่เรียบ แต่มีส่วนนูนยื่นขึ้นมา และระหว่างส่วนที่นูนก็เป็นแอ่ง ใบหูจึงไม่เรียบทั้งสองด้าน
รูหู เป็นช่องทางติดต่อระหว่างแอ่งลึกสุดของใบหู ไปจนถึงเยื่อแก้วหูลึกประมาณ ๒๔ มิลลิเมตร ประกอบด้วย ๒ ส่วนคือ รูหูส่วนกระดูกอ่อน ยาว ๘ มิลลิเมตร เป็นส่วนที่ต่อจากกระดูกอ่อนของใบหู และรูหูส่วนกระดูกยาว ๑๖ มิลลิเมตร เป็นส่วนที่มีผนังเป็นกระดูก ติดต่อลึกเข้าไปจากส่วนกระดูกอ่อน รูหูทั้งหมดไม่เป็นช่องตรงทีเดียว แต่จะโค้งเล็กน้อย รูหูจะคอดเป็นบางแห่ง เช่น ที่รอยต่อระหว่างส่วนกระดูกและ ส่วนกระดูกอ่อน และที่ส่วนกระดูกห่างจากเยื่อแก้วหู ๒-๓ มิลลิเมตร รูหู จะบุด้วยผิวหนัง ที่ส่วนกระดูกอ่อน ผิวหนังค่อน ข้างหนา และมีขน และยังมีต่อมขี้หูด้วย
เยื่อแก้วหู
รูปร่างเป็นแผ่นกลม ก้นบุ๋ม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประ มาณ ๑๐ มิลลิเมตร วางเฉียงๆ หันลงล่างไปทางข้างหน้า และใกล้ริม ในคนมีชีวิต เยื่อแก้วหู มีสีเทาเป็นเงา แต่อาจมีสีเหลืองอ่อน และแดงปนด้วย มีด้ามของกระดูกค้อนติดที่ด้านในของเยื่อแก้วหู จุดกึ่งกลางของเยื่อแก้วหูจึงถูกดึงเข้าไปเป็นรอยบุ๋ม
หูส่วนกลาง
เป็นโพรงอากาศเล็กๆ ในกระดูก อยู่ระหว่างเยื่อแก้วหูกับหูส่วนใน ภายในโพรงนี้มีกระดูกหูเล็กๆ ๓ ชิ้น คือ กระดูกค้อน กระดูกทั่ง และกระดูกโกลน ซึ่งต่อกันจากเยื่อแก้วหูไปยังผนังใกล้ริมของหูส่วนใน เพื่อนำคลื่นเสียงที่มากระทบเยื่อแก้วหูไปยังหูส่วนในได้ หูส่วนกลางยาวและสูงประมาณ ๑๕ มิลลิเมตร แต่กว้างเพียง ๖ มิลลิเมตรที่ส่วนบน ๔ มิลลิเมตรที่ส่วนล่าง และ ๑.๕-๒.๐ มิลลิเมตรที่ส่วนกลาง โพรงอากาศของหูส่วนกลางยังมีท่อทางข้างหน้า ไปติดต่อกับคอหอยส่วนจมูก (nasopharynx) และมีท่อทางข้างหลัง ไปติดต่อกับโพรงอากาศ ในปุ่มกระดูกหลังใบหูด้วย
หูส่วนใน
เป็นช่องที่มีสารน้ำอยู่ค่อนข้างสลับซับซ้อนอยู่ภายใน กระดูกที่เรียกว่า โบนีลาบีรินธ์ (bony labyrinth) และภายในโบนีลาบีรินธ์ ยังมีท่อหรือถุงซึ่งมีผนังบางๆ อยู่อีกชั้นหนึ่ง เรียกว่า เมมเบรนัสลาบีรินธ์ (membranous labyrinth) โบนีลาบีรินธ์ ประกอบด้วย เวสติบูล (vestibule) ช่องเซมิเซอร์ คูลาร์(semicircularcanals) และช่องโคเคลียร์ (cochlearcanal) ซึ่งภายในมีเมมเบรนัสลาบีรินธ์ ซึ่งประกอบด้วย ยูตริเคิล (utricle) แซคคูล (saccule) ท่อเซมิเซอร์คูลาร์ (semicircularduct) และท่อโคเคลียร์ (cochlear duct)
เวสติบูล เป็นส่วนกลางของโบนีลาบีรินธ์ ทางหลังติดต่อกับช่องเซมิเซอร์คูลาร์ และทางหน้าติดต่อกับช่องโคเคลียร์เป็นโพรงเล็กๆ ในกระดูกยาวจากหน้าไปหลัง ๖ มิลลิเมตร สูง ๔-๕ มิลลิเมตร และกว้าง ๓ มิลลิเมตร
ช่องเซมิเซอร์คูล่าร์ มี ๓ ช่อง อยู่หลังช่องเวสติบูล ทั้งสามวางตั้งฉากซึ่งกันและกัน จึงให้มีชื่อตามที่อยู่ คือ อันหน้า อันหลัง และอันใกล้ริม ช่องนี้อยู่ในกระดูกประมาณ ๒/๓ วงกลม ซึ่งปลายหนึ่งจะโป่งออก เรียกว่า แอมพูลลา (ampulla) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑.๕ มิลลิเมตร แต่ที่แอมพูลลาประมาณ ๒.๐ มิลลิเมตร เปิดเข้าสู่เวสติบูล เพียง ๕ รู เนื่องจากปลายใกล้กลางของช่องอันหน้ากับปลายบนของอันหลังรวมกัน
ช่องโคเคลียร์ เป็นโพรงคล้ายก้นหอย ฐานกว้าง ๙ มิลลิเมตร รากฐานถึงยอด ๕ มิลลิเมตร จากฐานถึงยอด ๕ มิลลิเมตร มีกระดูกเป็น แกนกลางเรียก โมดิโอลุส (modiolus) ยาว ๓ มิลลิเมตร มีช่องโคเคลียร์วนรอบโมดิโอลุส ประมาณ ๒.๑/๒ - ๒.๒/๓ รอบ ท่อทั้งหมดยาว ๓๒ มิลลิเมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๒ มิลลิเมตรจากกระดูกแกน มีแผ่นกระดูกบาง (osseus spiral lamina) ยื่นออกวนรอบโมดิโอลุส คล้ายตะปูควง ยื่นเข้าไปประมาณครึ่งหนึ่งของช่องโคเคลียร์ จึงแบ่งช่องโคเคลียร์ออกเป็นสองช่อง แต่ไม่สมบูรณ์ จากปลายของแผ่นกระดูกวนรอบ มีแผ่นพังผืดบาสิลาร์ (basilar membrane) ไปติดกับผนังของช่องโคเคลียร์ ทำให้แบ่งช่องโคเคลียร์เป็นสองช่องโดยสมบูรณ์
เมมเบรนัสลาบีรินธ์
อยู่ภายในโบนีลาบีรินธ์ ซึ่งมีรูปร่างเหมือนโบนี ลาบีรินธ์ เว้นแต่มีถุงบางๆ ๒ ถุงอยู่ในเวสติบูล คือ
ยูตริเคิล เป็นถุงยาวอยู่ตอนบนและหลังของเวสติบูล มีท่อเซมิเซอร์คูลาร์ มาเปิด ๕ ท่อ ภายในยูติเคิล มีเซลล์รับความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัว แล้วส่งความรู้สึกนั้นไปยังสมอง
แซคคูล เป็นถุงรูปไข่อยู่หน้ายูตริเคิล ภายในก็มีเซลล์รับความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัวเช่นเดียวกัน ทั้งแซคคูล และยูตริเคิล มีท่อมาติดต่อซึ่งกันและกันนอกจากนี้ แซคคูลยังมีไปต่อกับท่อโคเคลียร์ด้วย
ท่อเซมิเซอร์คูลาร์ มีลักษณะเป็นท่ออยู่ภายในช่องเซมิเซอร์คูลาร์ ช่องเซมิเซอร์คูลาร์ส่วนใดโป่ง ท่อเซมิเซอร์คูลาร์ส่วนนั้นก็โป่งด้วย ภายในท่อเซมิเซอร์คูลาร์ที่โป่งออก มีสันขวางประกอบด้วยเซลล์รับความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัว
ท่อโคเคลียร์ เป็นท่อวนรอบอยู่ภายในช่องโคเคลียร์ เป็นท่อรูปสามเหลี่ยม ด้านล้างเป็นแผ่นบาสิลาร์ และด้านบนเป็นแผ่นเยื่อบางๆ อีกแผ่นหนึ่ง เรียกว่า แผ่นเวสติบูลาร์ (vestibular membrane) ขึงจากด้านบนของแผ่นกระดูกวนรอบไปยังผนังของช่องโคเคลียร์ อีกด้านหนึ่งเป็นแผ่นเยื่อของช่องโคเคลียร์ ด้านในช่องโคเคลียร์ที่ด้านบนของแผ่นบาสิลาร์มีอวัยวะสำหรับรับเสียง (organs of corti) ซึ่งมีเซลล์สำหรับรับความรู้สึกในการได้ยิน
ภายในเมมเบรนัสลาบีรเนธ์ทั้งหมด มีน้ำที่เรียกว่า เอ็นโดลีมพ์ (endolymph) ซึ่งจะติดต่อกันทั้งหมด ภายในโบนีลาบีรินธ์ และภายนอกเมมเบรนัสลาบีรินธ์ก็มีน้ำอยู่ซึ่ง เรียกว่า เพอริลีมพ์ (perilymph) ซึ่งติดต่อกันทั้งหมดเช่นเดียวกัน เมื่อมีคลื่นเสียงผ่านรูหูไปกระทบเยื่อแก้วหู เยื่อแก้วหูก็สั่นสะเทือน ทำให้กระดูกหูเล็กๆ สั่นสะเทือน ส่งต่อไปยังเพอริลีมพ์ภายในเวสติบูล จากนั้นการสั่นสะเทือนก็แพร่ไปยังเพอริมลีมพ์ของส่วนต่างๆ ไปสู่เซลล์สำหรับรับเสียง และเซลล์สำหรับรับความรู้สึกในการทรงตัว ซึ่งจะส่งความรู้สึกต่อไปยังสมองได้ทางประสาทสมองคู่ที่ ๘
จมูกเป็นส่วนบนสุดของระบบทางเดินอากาศหายใจ และยังมีประสาทสำหรับรับกลิ่นด้วย จมูกประกอบด้วย จมูกส่วนนอก และโพรงจมูก ซึ่งแบ่งเป็นซ้ายและขวา โดยมีผนังกั้นกลาง
จมูกส่วนนอก
มีสันจมูก ซึ่งยื่นจากหน้าผากระหว่างตาทั้งสองไปยังปลายจมูก ดั้งจมูกเป็นส่วนที่ต่อกับหน้าผาก ด้านล่างของจมูก ส่วนนอกมีรูจมูก ซึ่งคนเชื้อชาติผิวขาวมีรูจมูกรูปรี คนเชื้อชาติผิวเหลืองรูจมูกจะค่อนข้างกลม รูจมูกทั้งสองแยกกันโดยแผ่นกั้นกลาง และสองข้างของรูจมูกโป่งคล้ายปีก เรียกว่า ปีกจมูก ส่วนบนของจมูกส่วนที่เป็นกระดูก จึงแข็งและอยู่กับที่ คลุมด้วยผิวหนัง ส่วนล่างมีแกนภายในเป็นกระดูกอ่อน คลุมด้วย ผิวหนังซึ่งติดแน่นและมีต่อมไขมันมาก จึงเป็นส่วนที่จับ โยกไปมาได้
โพรงจมูก
นับตั้งแต่รูจมูกทางด้านหน้าเข้าไปจนถึงรูเปิดทางด้านหลัง ซึ่งจะติต่อกับคอหอยส่วนจมูก ผนังกั้นกลางของโพรงจมูกเรียบและแบน ประกอบด้วย แผ่นกระดูก และแผ่นกระดูกอ่อนบางๆ ผนังใกล้ริมไม่เรียบ เหนือรูจมูก มีส่วนที่กว้างขึ้นเป็นกระพุ้ง เรียกว่า เวสติบูล ซึ่งมีขนจมูกสั้น และแข็งแรงอยู่ที่ส่วนล่าง เพื่อกรองฝุ่นละอองจากอากาศ ที่ผนังใกล้ริมมีแผ่นกระดูกยื่น ๓ ชิ้น เรียกว่า คอนคา (concha) ชิ้นล่างใหญ่ ชิ้นกลาง และชิ้นบนเล็กลงไป ตามลำดับ
ด้านบนของโพรงจมูก ค่อนข้างแคบ แต่จะกว้างในส่วนหลัง แบ่งได้เป็น ๓ ส่วน ส่วนหน้าเอียงลาดลงล่างไปข้างหน้า ส่วนกลางอยู่ในแนวนอน และส่วนหลังเอียงลาดลงล่างไปข้างหลัง พื้นของโพรงจมูก ก็คือด้านบนของเพดานปากส่วนแข็ง ซึ่งอยู่ระหว่างช่องปากกับช่องจมูก เยื่อเมือกที่บุส่วนบนโพรงจมูก มีสีเหลือง และมีปลายประสาทรับกลิ่น ส่งไปตามประสาทสมองคู่ที่ ๑ เยื่อเมือกที่บุส่วนล่างของโพรงจมูก จะหนามาก และมีเลือดมาเลี้ยงมาก จึงทำให้อากาศหายใจอุ่น มีต่อมจำนวนมากโดยเฉพาะที่ครึ่งหลังของโพรงจมูก จึงทำให้มีน้ำมูก เมื่อเป็นหวัดกระดูกที่อยู่รอบๆ โพรงจมูก จะมีโพรงอากาศอยู่ภายใน เรียกว่า โพรงอากาศ (paranasal air sinuses) โพรงอากาศเหล่านี้จะมีรูเปิดเข้าสู่ผนังใกล้ริมของโพรงจมูกตรงตำแหน่งต่างๆ กัน การอักเสบของโพรงจมูก จึงอาจจะแพร่กระจายไปยังโพรงอากาศต่างๆ เหล่านี้