จากงานวิจัยที่ผ่านมาส่วนใหญ่มีศึกษาโดยเน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างการอดนอนกับการเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า โรคอัลไซเมอร์ สมองเสื่อม โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคหลอดเลือดสมอง ขณะที่งานวิจัยหนึ่งได้ศึกษาถึงผลจากการถูกรบกวนการนอนต่อเซลล์สมอง ซึ่งการทดลองนี้ทำในหนูทดลอง โดยการปลุกหนูทดลองให้ตื่นเป็นระยะ ๆ เพื่อไม่ให้มันนอนได้อย่างเต็มที่ และเมื่อเวลาผ่านไปหลายวัน นักวิจัยก็พบว่า การถูกรบกวนการนอน ทำให้ไม่ได้นอนหลับยาว ๆ หรือมีสภาพอดนอนนั้น ส่งผลให้เซลล์สมองของหนูทดลองตายลงถึง 25% และสถานการณ์นี้ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นกับคนเรา ทั้งยังส่งผลสืบเนื่องไปถึงนาฬิกาชีวิต (Biological Clock) และวงจรการนอนหลับด้วย
อีกงานวิจัยหนึ่งระบุว่า การอดนอนมีผลต่อขนาดของสมอง โดยทีมนักวิจัยใช้เครื่อง MRI สแกนสมองของผู้เข้าร่วมวิจัยจำนวน 147 คน ที่มีอายุระหว่าง 20-84 ปี จากนั้นให้ผู้เข้าร่วมวิจัยตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการนอนของพวกเขา หลังจากนั้น 3 ปีครึ่ง พวกเขาได้ทำการสแกนสมองผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งหมดอีกครั้ง และผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า 35% ของผู้ที่มีปัญหาการนอนหลับ มีการลดลงของปริมาตรหรือขนาดของสมองในระหว่างการศึกษามากกว่าผู้ที่หลับสบาย
ในงานวิจัยล่าสุด โดยทีมวิจัยจาก UCLA ยังแสดงให้เห็นว่า การอดนอนไม่เพียงมีผลต่อสมองของผูู้อดนอนเท่านั้น แต่ยังส่งผลไปถึงผู้คนรอบข้างด้วย เนื่องจากพวกเขาพบว่า การอดนอนเป็นปัจจัยที่ทำให้สมองแต่ละส่วนมีการสื่อสารระหว่างกันที่ช้าลง การเข้ารหัสหรือแปรผลเป็นไปได้อย่างเชื่องช้า เรียกความจำต่อต่าง ๆ ที่อยู่ในสมองออกมาใช้ได้ช้าลง และทำลายวิสัยทัศน์หรือความสามารถในการแปรผลของสิ่งที่มองเห็นด้วย สิ่งนี้ได้ส่งผลถึงคนรอบข้างในกรณีที่คนขับรถอดนอน พวกเขาอาจมองไม่เห็นคนเดินเท้าที่กำลังข้ามถนน และเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้
ร่างกายหรือสมองที่อ่อนล้ามาก ๆ จากการอดนอน สามารถสั่งให้สมองบางส่วนหยุดการทำงานลงได้ แม้ว่าพวกเขาจะยังตื่นอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองของผู้ที่อดนอนนั้นไม่ต่างไปผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มาอย่างหนักเลย และเป็นที่น่าเสียดายที่ตอนนี้นักวิจัยหรือนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพัฒนายาที่ป้องกันการเสียหายของเซลล์สมองจากการอดนอน หรือวิธีเพิ่มพลังด้วยสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมสมองตามธรรมชาติได้ การนอนหลับอย่างเพียงพอจึงยังคงเป็นวิธีการรักษาเซลล์สมองให้อยู่กับเราไปนาน ๆ ที่ดีที่สุด
ในแต่ละช่วงวัยของคนเรามีความต้องการนอนหลับที่แตกต่างกัน ซึ่งสถาบันการนอนหลับแห่งชาติ (National Sleep Foundation) ในสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำระยะเวลาการนอนที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยไว้ ดังนี้
อายุ 0-3 เดือน | เวลาการนอนหลับที่เหมาะสม คือ 14-17 ชั่วโมงต่อวัน แต่อาจมากหรือน้อยกว่านี้ได้ 1-2 ชั่วโมง |
อายุ 4-11 เดือน | เวลาการนอนหลับที่เหมาะสม คือ 12-15 ชั่วโมงต่อวัน แต่อาจมากหรือน้อยกว่านี้ได้ 1-2 ชั่วโมง |
อายุ 1-2 ปี | เวลาการนอนหลับที่เหมาะสม คือ 11-14 ชั่วโมงต่อวัน แต่อาจมากหรือน้อยกว่านี้ได้ 1-2 ชั่วโมง |
อายุ 3-5 ปี | เวลาการนอนหลับที่เหมาะสม คือ 10-13 ชั่วโมงต่อวัน แต่อาจมากหรือน้อยกว่านี้ได้ 1 ชั่วโมง |
อายุ 6-13 ปี | เวลาการนอนหลับที่เหมาะสม คือ 9-11 ชั่วโมงต่อวัน แต่อาจมากหรือน้อยกว่านี้ได้ 1 ชั่วโมง |
อายุ 14-17 ปี | เวลาการนอนหลับที่เหมาะสม คือ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน แต่อาจมากหรือน้อยกว่านี้ได้ 1 ชั่วโมง |
อายุ 18-25 ปี | เวลาการนอนหลับที่เหมาะสม คือ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน แต่อาจมากหรือน้อยกว่านี้ได้ 1 ชั่วโมง |
อายุ 26-64 ปี | เวลาการนอนหลับที่เหมาะสม คือ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน แต่อาจมากหรือน้อยกว่านี้ได้ 1 ชั่วโมง |
อายุ 65 ปีขึ้นไป | เวลาการนอนหลับที่เหมาะสม คือ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน แต่อาจมากหรือน้อยกว่านี้ได้ 1 ชั่วโมง |
นอกจากช่วงวัยที่ต่างกันจะต้องการปริมาณการนอนหลับที่แตกต่างกันแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้คนเราต้องการปริมาณการนอนที่ต่างกันด้วย เช่น หญิงตั้งครรภ์อาจจะต้องการเวลาการนอนหลับที่เพิ่มขึ้น ส่วนในผู้ที่เคยอดนอนมาก่อน ก็อาจจะต้องการเวลาในการนอนหลับมากกว่าคนทั่วไปด้วย
เพื่อรักษาสมองและร่างกายของเราให้สามารถใช้งานไปได้อีกยาว ๆ นอกจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแล้ว จึงไม่ควรมองข้ามการนอนหลับอย่างมีคุณภาพและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเช่นกัน
ภาพปก : Shutterstock