ภาคประธานของประโยค (Subject) คือ คน สัตว์ หรือสิ่งของ ในประโยคที่กระทำบางสิ่งบางอย่าง เช่น
He speaks English very well.
(เขาพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก)
He คือ ประธาน
The dogs bark at the cat.
(พวกสุนัขเห่าแมว)
The dogs คือ ประธาน
ภาคแสดงของประโยค (Predicate) คือ ส่วนของประโยคที่ประกอบด้วยการกระทำ (Verb) เช่น
Paula puts a lot of garlic in her food.
(พอลล่าใส่กระเทียมจำนวนมากในอาหารของเธอ)
puts a lot of garlic in her food คือ ภาคแสดง
กรรม (Object) คือ คน สัตว์ หรือสิ่งของที่ถูกกระทำจากการกระทำของประธาน เช่น
My father built a ramp on the sidewalk.
(พ่อของฉันสร้างทางลาดบนทางเท้า)
a ramp คือ กรรม
ประโยค (Sentence) คือ กลุ่มคำที่เข้าใจความหมายทั้งหมดด้วยตัวมันเอง ประโยคจะขึ้นต้นด้วยตัวอักษรตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ และจบประโยคด้วยเครื่องหมายวรรคตอน (Punctuation mark) และประกอบด้วยภาคประธานและภาคแสดง เช่น
The dogs bark at the cat.
(พวกสุนัขเห่าแมว)
ประธาน คือ The dogs / ภาคแสดง คือ bark at the cat.
ประโยคความเดียว (Simple Sentence) คือ ประโยคที่มีหนึ่งประธานและหนึ่งภาคแสดง เช่น
Jane waited for the train.
(เจนรอรถไฟ)
ประธาน คือ Jane / ภาคแสดงคือ waited for the train.
ประโยคความเดียวสามารถมีประธานพหูพจน์และ/หรือภาคแสดงพหูพจน์ก็ได้ เช่น
ประธานพหูพจน์ : Mary and Sarah went to the supermarket. (แมรี่และซาร่าไปซูเปอร์มาร์เก็ต)
ภาคแสดงพหูพจน์ : The dog jumped and barked. (หมากระโดดและเห่า)
ประโยคความรวม (Simple Sentence) คือ ประโยคที่ประกอบด้วยสองหรือหลายประโยคความเดียว แล้วเชื่อมกันด้วยเครื่องหมาย comma ( , ) หรือ คำเชื่อม (Conjunction) เช่น
I walked to class, but Toon ran.
(ฉันเดินไปห้องเรียน แต่ตูนวิ่ง)
Nida bought some new shoes, and she wore them to a party.
(นิดาซื้อรองเท้าใหม่ และเธอก็สวมมันไปงานปาร์ตี้)
ข้อสังเกต : ในประโยคความรวมมักมี คำเชื่อม (Conjunction) ดังนี้ For, And, Nor, But, Or, Yet, So (หลักการจำง่าย ๆ คือ FAN BOYS)
ประโยคความซ้อน (Complex Sentence) คือ ประโยคความเดียวสองประโยคมารวมกันเป็นประโยคเดียวด้วยคำเชื่อมสองประโยคเข้าด้วยกัน (Subordinating Conjunctions) เพื่อขยายความให้สมบูรณ์ มีโครงสร้าง คือ
Subordinating Conjunctions + Subject + Verb ~, Subject + Verb ~
Subject + Verb ~ + Subordinating Conjunctions + Subject + Verb
เช่น
Since you were not at the meeting, we made a decision without you.
(เนื่องจากคุณไม่เข้าประชุม พวกเราจึงตัดสินใจโดยไม่มีคุณ)
Tom forgot to give the teacher his homework when he came late to class.
(ทอมลืมส่งการบ้านคุณครูเมื่อเขามาห้องเรียนสาย)
ข้อสังเกต : ในประโยคความซ้อนมักมีคำเชื่อมสองประโยคเข้าด้วยกัน (Subordinating Conjunctions) ดังนี้ after, although, as, because, before, even though, if, since, though, unless, until, when, whenever, whereas, wherever, while
ประโยคบอกเล่า (Declarative Sentence) คือ ประโยคที่บอกถึงข้อคิดเห็นหรือความเป็นจริง เช่น
We have broccoli in the refrigerator.
(พวกเรามีบร็อคโคลี่ในตู้เย็น)
To kill a mockingbird was written by Harper Lee.
(นิยายเรื่อง To kill a mockingbird เขียนโดย ฮาร์เปอร์ ลี)
ประโยคคำสั่ง (Imperative Sentence) คือ ประโยคที่ใช้ในการสั่งการ เช่น
Get out!
(ออกไป!)
Mark, shut the door.
(มาร์ก ปิดประตูด้วย)
Please tidy your room.
(กรุณาจัดห้องให้เรียบร้อย)
ข้อสังเกต : ถ้าเป็นคำสั่งมีพลังจะใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ ( ! ) ถ้าเป็นคำสั่งแบบสุภาพหรือในรูปแบบให้คำแนะนำจะใช้ full stop ( . )
ประโยคคำถาม (Interrogative Sentence) คือ ประโยคสำหรับการถามข้อมูล และจบประโยคด้วยเครื่องหมาย Question mark ( ? ) เช่น
What is your favorite song?
(เพลงโปรดของคุณคือเพลงอะไร?)
Can I borrow your book?
(ฉันขอยืมหนังสือของคุณได้ไหม?)
Paragraph คือ กลุ่มของประโยคซึ่งแสดงความสัมพันธ์กันกับความคิดเหมือน ๆ กัน หรือใจความสำคัญของเรื่อง (ประโยคแรกของ Paragraph จะย่อหน้าเสมอ) เช่น
My classmate is an interesting person. Her name is Sayumi Michishige. She is a student from Aoyama Gakuin University in Japan. She arrived in Bangkok two years ago. She is single and lives with her best friend form Japan.