โรคหัวใจ (Heart Attack) เป็นหนึ่งในโรคที่คร่าชีวิตประชากรโลกอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะประชากรในซีกโลกตะวันตกและกลุ่มคนวัยทำงานที่ทำงานในเมือง สาเหตุของมันมาจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะการใช้ชีวิตของคน งานที่มีความเครียดเพิ่มสูงขึ้น วิถีชีวิตที่เร่งรีบ การโหมงาน ย่อมเป็นสาเหตุของโรคมากมาย ทั้งความเครียด ความดัน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดต่าง ๆ รวมถึงโรคที่สัมพันธ์กับความผันผวนของฮอร์โมนต่าง ๆ ด้วย
โรคหัวใจอาจเกิดจากความผิดปกติทางด้านโครงสร้าง กล้ามเนื้อชิ้นต่าง ๆ หรือจังหวะการเต้นที่ผิดปกติ ซึ่งอาจมีสาเหตุได้หลากหลาย เช่น การอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจเส้นใดเส้นหนึ่ง ซึ่งอาการที่พบได้คือ อาจจะอึดอัดบริเวณหน้าอก เจ็บร้าวอย่างรุนแรงบริเวณหน้าอกลามไปจนถึงไหล่ซ้ายหรือขากรรไกร มีอาการหอบ คลื่นไส้ วิงเวียน เหงื่อออก และอาจหน้าซีด หมดแรง หมดสติได้ และนั่นคือ อาการของภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest)
หากคุณพบกับคนที่หมดสติ หายใจติดขัด ชีพจรอ่อน สิ่งที่มักถูกสอนมาก็คือ จับชีพจร ตรวจเช็กระบบทางเดินหายใจ และปั๊มหัวใจเพื่อกระตุ้นการเต้น แต่ปัญหาก็คือ การจะจับจังหวะการปั๊มหัวใจไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะการเป่าปาก วิธีนับ จำนวนครั้งที่ต้องทำ ไปจนถึงเมื่อไรถึงควรหยุดทำ แรงในการปั๊ม และตำแหน่งในการกด นั่นทำให้ต้องคิดหนักว่า จริง ๆ แล้วจะมีสักกี่คนที่มั่นใจในการทำ CPR จริง ๆ
CPR หรือ Cardiopulmonary Resuscitation คือการปั๊มหัวใจด้วยมือ เพื่อเป็นการกระตุ้นหัวใจของผู้ป่วยให้กลับมาเต้นเป็นจังหวะอีกครั้ง ทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดที่มีออกซิเจนไปยังสมองและหัวใจ แต่กระบวนการนี้เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ มันจำเป็นต้องได้รับการเยียวยาเพิ่มเติมต่อไปเพื่อให้ร่างกายกลับสู่ภาวะปกติ นั่นทำให้ AED เป็นคำตอบที่มีประสิทธิภาพกว่า เพราะหากผู้ทำ CPR ขาดประสบการณ์ สถานการณ์อาจเลวร้ายลงได้ โดย AED ได้รับการพัฒนาขึ้นมาในช่วง 20 ปีให้หลังมานี้ เพื่อช่วยชีวิตผู้ที่มีภาวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ เลือดไม่ไปเลี้ยงหัวใจ แต่มันไม่สามารถกระตุ้นให้คนที่หัวใจหยุดเต้นแล้วกลับมาเต้นได้ อย่างไรก็ตาม มันสามารถช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตจากการใช้ CPR เพียงอย่างเดียว
สำหรับการใช้งาน AED นั้นง่ายกว่ามาก เพราะว่าเป็นอุปกรณ์อัตโนมัติที่ทำได้ทั้งตรวจจับและกระตุ้นในเครื่องเดียว เครื่องกระตุ้นด้วยไฟฟ้าอัตโนมัตินี้สามารถช่วยชีวิตผู้ที่ประสบภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้หลังจากได้รับการฝึกฝนไม่นาน แต่มันก็มีข้อควรระวังเล็กน้อย เช่น ควรใช้กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่มีอายุมากกว่า 8 ปีซึ่งโตมากพอที่จะได้รับการกระตุ้นในรูปแบบนี้ได้ ท้ายที่สุดแล้วแม้ว่าจะไม่เชี่ยวชาญในการใช้อุปกรณ์ช่วยชีวิตนี้ แต่หากคุณรู้ว่ามันคืออะไร มีสติในภาวะคับขันและสามารถอ่านคู่มือในยามฉุกเฉินที่ต้องการใช้งานและปฏิบัติตามได้ ย่อมดีกว่าไม่มีอุปกรณ์อะไรเลยจริงไหม
ภาพปก : Shutterstock