ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้ายหรือการทำงานของไตเสียไปประมาณร้อยละ ๙๕ ผู้ป่วยมักมีอาการรุนแรงมากจนถึงกับเสียชีวิตได้ ดังนั้นผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องทำการรักษาด้วยการทำไตเทียมวิธีใดวิธีหนึ่งหรือการผ่าตัดปลูกถ่ายไตเท่านั้นโดยปกติแพทย์จะพิจารณาเริ่มให้การรักษาที่เร็วกว่าระยะนี้เนื่องจากผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่เข้าสู่ระยะสุดท้ายอาการมักรุนแรงมากจนอาจแก้ไขไม่ทัน การฟื้นตัวของผู้ป่วยจะช้ามากหรือไม่ได้เลยในปัจจุบันมีวิธีการรักษาโรคไตเรื้อรังทั้งหมด ๓ วิธี คือ
๑. การรักษาทั่วไป
๒. การทำไตเทียม
๓. การผ่าตัดปลูกถ่ายไต
เป็นการรักษาในกรณีของผู้ป่วยไตเรื้อรังที่ยังสูญเสียหน้าที่ไตไม่มากเพื่อชะลออัตราการเสื่อมของไตให้ช้าที่สุด การรักษาทั่วไป ได้แก่ การควบคุมอาหารและการรักษาด้วยยา เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาขับฟอสฟอรัสหรือยารักษาความเป็นกรดในเลือด แต่ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายจะใช้การรักษาด้วยวิธีนี้อย่างเดียวไม่ได้จำเป็นต้องอาศัยการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ด้วย คือ การทำไตเทียม การผ่าตัดปลูกถ่ายไต
การทำไตเทียม คือ การขจัดหรือการล้างของเสียที่คั่งค้างจากภาวะไตวายออกจากร่างกายของผู้ป่วย การรักษาวิธีนี้เป็นการล้างของเสียออกจากร่างกายให้สะอาดคล้ายกับการทำงานของไตของผู้ป่วยบางครั้งอาจเรียกว่าการล้างไต อย่างไรก็ตามการล้างไตไม่ได้เข้าไปชำระล้างหรือเกี่ยวข้องกับไตของผู้ป่วยโดยตรงเป็นเพียงการทำงานทดแทนไตเดิมของผู้ป่วยเท่านั้น การล้างไตมี ๒ วิธี คือ การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (haemodialysis) และการล้างไตทางช่องท้อง (peritoneal dialysis)
๑) การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม
การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมหรือบางคนเรียกสั้น ๆ ว่า ไตเทียมคือการขจัดของเสียที่คั่งค้างในร่างกายโดยใช้เครื่องไตเทียมเพื่อดึงน้ำและของเสียออกจากเลือดของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายและนำเลือดผู้ป่วยออกทางเส้นเลือดที่แขนหรือขา จากนั้นจึงนำเลือดมาผ่านตัวกรองเพื่อฟอกให้สะอาดแล้วส่งเลือดกลับคืนสู่ผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องตลอดการฟอกทำให้ระดับของเสียในร่างกายลดลงได้หลังการฟอกเลือดเสร็จแล้วน้ำหนักตัวของผู้ป่วยจะลดลงมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่ดึงออกจากตัวผู้ป่วย ส่วนปริมาณของเสียในเลือดจะลดลงใกล้เคียงหรือสูงกว่าปกติเล็กน้อยต่อจากนั้นของเสียและน้ำจะเริ่มมีการสะสมเพิ่มมากขึ้นอีกเรื่อย ๆ ทำให้ผู้ป่วยต้องได้รับการฟอกเลือดเป็นระยะ ๆ ตลอดชีวิตของผู้ป่วย ผู้ป่วยต้องมีเส้นเลือดที่จัดเตรียมสำหรับการฟอกเลือดโดยเฉพาะ ซึ่งอาจเป็นเส้นเลือดแบบชั่วคราวหรือถาวรพยาบาลจะใช้เข็มแทงเข้าที่เส้นเลือดและนำไปต่อเข้ากับเครื่องไตเทียมโดยเครื่องไตเทียมจะมีปั๊มดึงเลือดของผู้ป่วยออกมาทางเข็มแรกเลือดจะถูกนำไปผ่านกระบวนการแพร่กระจายและกระบวนการอัลตราฟิลเทรชัน (ultrafiltration) ภายในตัวกรองเพื่อขจัดของเสียและน้ำส่วนเกินออกไป เลือดที่ผ่านตัวกรองแล้วจะมีของเสียลดน้อยลงและถูกส่งกลับคืนผู้ป่วยผ่านทางเข็มที่ ๒ เครื่องไตเทียมทำการหมุนเวียนเลือดเช่นนี้อย่างต่อเนื่องตลอดการฟอกเลือดเป็นระยะเวลาประมาณ ๔-๕ ชั่วโมง ปริมาณของเสียในเลือดผู้ป่วยจะค่อย ๆ ลดลงตามระยะเวลาการฟอกเลือดจนเป็นปกติหรือใกล้เคียงปกติเมื่อสิ้นสุดการฟอกเลือดในแต่ละครั้ง
๒) การล้างไตทางช่องท้อง
เป็นการล้างไตวิธีหนึ่งซึ่งอาศัยผนังเยื่อบุช่องท้องทำหน้าที่คล้ายเมมเบรนของตัวกรองฟอกเลือดแยกระหว่างส่วนของเลือดกับส่วนของน้ำยาล้างไต (Peritoneal Dialysis Fluid: PDF) ส่วนของเลือด ได้แก่ เส้นเลือดต่าง ๆ ที่อยู่ตามผิวของเยื่อบุช่องท้องและลำไส้ ส่วนของน้ำยาล้างไต ได้แก่ น้ำยาที่ใส่เข้าไปในช่องท้องเมื่อใส่น้ำยาเข้าไปในช่องท้องแล้วให้แช่ทิ้งไว้ระยะเวลาหนึ่งของเสียในเลือดที่มีความเข้มข้นสูงกว่าน้ำยาล้างไตจะมีการแพร่กระจายผ่านเยื่อบุช่องท้องมายังน้ำยาล้างไตทำให้ของเสียในเลือดลดลง หลังจากนั้นจึงถ่ายน้ำยาล้างไตออกทิ้งแล้วใส่น้ำยาล้างไตใหม่เข้าไปแทนที่โดยทำเช่นนี้ต่อเนื่องกันไป
การล้างไตทางช่องท้องจำเป็นต้องใช้สายยางพิเศษ (peritoneal catheter) สำหรับใส่น้ำยาล้างไตทางช่องท้องซึ่งมีลักษณะนิ่มและทำมาจากวัสดุที่ร่างกายไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน เช่น ซิลิโคน แพทย์จะทำการผ่าตัดหรือเจาะหน้าท้องแล้วใส่สายยางนี้เข้าสู่ช่องท้องของผู้ป่วย ปลายสายข้างหนึ่งอยู่ในช่องท้องในตำแหน่งที่ต่ำที่สุดของช่องท้องปลายสายอีกข้างหนึ่งแทงผ่านผนังหน้าท้อง ออกมานอกผิวหนังของผู้ป่วยในบริเวณต่ำกว่าสะดือเล็กน้อยซึ่งผู้ป่วยสามารถต่อถุงน้ำยาล้างไตเข้ากับปลายด้านนอกนี้เพื่อเป็นช่องทางถ่ายน้ำยาระหว่างถุงน้ำยาภายนอกกับช่องท้องได้ น้ำยาจะถูกถ่ายเทโดยอาศัยแรงโน้มถ่วงเป็นตัวช่วยในการไหลของน้ำ คือ น้ำจะไหลจากตำแหน่งที่สูงไปสู่ตำแหน่งที่ต่ำกว่า ดังนั้นเมื่อผู้ป่วยยกถุงน้ำยาล้างไตให้สูงกว่าช่องท้องของผู้ป่วยน้ำยาล้างไตจะไหลจากถุงน้ำยาเข้าสู่ช่องท้องและเมื่อวางถุงน้ำยาให้ต่ำกว่าช่องท้องของผู้ป่วยน้ำจากช่องท้องจะไหลออกมาสู่ถุงน้ำยา
เยื่อบุช่องท้องทำหน้าที่เป็นแผ่นกรองเมมเบรนกั้นระหว่างน้ำยาล้างไตในช่องท้องกับเลือดของผู้ป่วยเมื่อปล่อยให้น้ำยาล้างไตแช่ไว้ในช่องท้องนาน ๓-๔ ชั่วโมง ของเสียและสารต่าง ๆ ที่มีมากเกินไปในเลือดจะค่อย ๆ แพร่กระจายจากเลือดผ่านเยื่อบุช่องท้องแล้วเข้าสู่น้ำยาล้างไต หลังจากนั้นน้ำยาล้างไตจะถูกปล่อยให้ไหลออกมาทางสายที่หน้าท้องซึ่งมีของเสียและน้ำออกจากเลือดของผู้ป่วยตามออกมาด้วยเมื่อปล่อยน้ำยาเก่าออกมาจนหมดแล้วผู้ป่วยจะปลดถุงน้ำยาเก่าทิ้งแล้วเปลี่ยนถุงน้ำยาใหม่ หลังจากนั้นจึงเริ่มใส่น้ำยาล้างไตใหม่เข้าไปในช่องท้องอีกทำเช่นนี้ ๔-๖ ครั้งต่อวัน แล้วแต่ว่าการล้างไตทำด้วยน้ำยาที่มีขนาดบรรจุเท่าใดโดยปกติปลายสายที่แทงออกมาภายนอกบริเวณหน้าท้องยาวประมาณ ๖-๑๐ เซนติเมตร และมีสายต่อจากสายยางไปยังถุงน้ำยายาวประมาณ ๑๒๐-๑๕๐ เซนติเมตร ส่วนถุงน้ำยามักเป็นถุงพลาสติกที่นิ่มสามารถม้วนพับเก็บได้ง่าย เมื่อใส่น้ำยาเข้าช่องท้องแล้วผู้ป่วยสามารถซ่อนสายยางไว้โดยพันสายไว้รอบเอวและม้วนเก็บถุงน้ำยาไว้ในกระเป๋าเล็ก ๆ ใต้เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่
การผ่าตัดปลูกถ่ายไต คือ การผ่าตัดไตของญาติที่ยังมีชีวิตหรือไตของผู้บริจาคที่เพิ่งเสียชีวิตหรือสมองตายแต่ไตยังคงทำงานเป็นปกติมาใส่ให้แก่ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายเพื่อใช้ทำหน้าที่ขับของเสียทดแทนไตเดิมซึ่งสูญเสียหน้าที่ไปแล้ว ดังนั้นหลังการผ่าตัดปลูกถ่ายไตผู้ป่วยจะมีไตเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก ๑ ข้าง ปัจจุบันยอมรับกันว่าการปลูกถ่ายไตเป็นการบำบัดทดแทนไตที่ทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าการบำบัดทดแทนไตในรูปแบบอื่นโดยมีอัตราการอยู่รอดของไตที่ปลูกถ่ายมากกว่าร้อยละ ๙๕ ในช่วงปีแรก อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตมีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้บ่อยจากการใช้ยากดระบบภูมิคุ้มกันและยาสเตียรอยด์เพื่อช่วยยับยั้งการปฏิเสธไตที่ปลูกถ่ายใหม่จากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยเฉพาะภายในครึ่งปีแรกของการปลูกถ่ายไตทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายจากโรคที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างกายหรือเชื้อโรคที่รับเข้ามาใหม่ภายหลังการปลูกถ่ายไตจึงต้องระวังรักษาสุขภาพอนามัยของตนเองอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด เกิดปัญหาแทรกซ้อนต่าง ๆ และภาวะเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นก่อนที่จะได้รับการปลูกถ่ายไตผู้ป่วยทุกรายควรได้รับการตรวจประเมินความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจรวมทั้งได้รับความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในขั้นตอนของการปลูกถ่ายไตตลอดจนภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการปลูกถ่ายไต