หลังจากที่ประเทศไทยในแผ่นดินสมเด็จพระเพทราชา (พ.ศ. ๒๒๓๑-๒๒๔๖) ได้ขับไล่ชาวฝรั่งเศสออกไปจากประเทศไทยแล้วการแพทย์แผนปัจจุบันที่นำมาโดยชาวฝรั่งเศสก็พลอยสูญไปด้วยกลับไปใช้การแพทย์แผนโบราณตามเดิมการแพทย์แผนปัจจุบันได้กลับมาอีกพร้อมกับการเข้ามาของนักสอนศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.๒๓๖๗-๒๓๙๔) พ.ศ.๒๓๗๑ มีนักสอนคริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนท์ ๒ คน เข้ามาในประเทศไทยเป็นแพทย์ชาวเยอรมนีคนหนึ่งชื่อกุตซ์ลัฟฟ์ (Rev. Carl Augustus Gutzlaff) และหมอสอนศาสนาชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อทอมลิน (Rev. Jacob Tomlin) นอกจากการสอนศาสนาแจกหนังสือภาษาจีน และแจกยาแล้วก็ไม่ได้ทำการทางการแพทย์แผนปัจจุบันไว้ให้เป็นหลักฐานประการใด
ต่อจากบุคคลทั้งสองแล้วก็มีนักสอนศาสนาเป็นแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ติดตามเข้ามาอีกหลายคนแต่ผู้ที่นำการแพทย์แผนปัจจุบันและวิทยาศาสตร์เข้ามาเผยแผ่จนเป็นที่รู้จักกันดีมี ๒ ท่าน คนแรกเป็นแพทย์คือ ดร.บรัดเลย์ (Dan Beach Bradley) เข้ามาใน พ.ศ. ๒๓๗๗ อีกผู้หนึ่งคือ ดร.เฮาส์ (Reynolds Samuel House) เป็นทั้งแพทย์และเป็นนักวิทยาศาสตร์ในสาขาเคมีฟิสิกส์และสนใจทางชีววิทยาด้วย
ดร.บรัดเลย์ได้มาปฏิบัติงานทางแพทย์ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ทั้งในหมู่ข้าราชการ และประชาชน ตลอดจนบุคคลชั้นสูงสุด ของประเทศ เป็นการนำการแพทย์แผนปัจจุบันมาสู่ประเทศไทย หลังจากที่การแพทย์แผนปัจจุบันได้มีการเจริญเปลี่ยนแปลง กิจการสำคัญๆ ที่ได้มีบันทึกไว้ชัดเจนมีดังต่อไปนี้
๑. เป็นคนแรกที่ทำการถ่ายเลือดเพื่อแก้ไขผู้ป่วยที่เสียเลือดไปเป็นจำนวนมากแม้การถ่ายเลือดจะไม่ได้ทำในประเทศไทยก็ตามก็ได้ทำกับบุคคลที่จะเข้ามาในประเทศไทย คือ คนที่รอเรืออยู่ที่เมืองสิงคโปร์ก่อนเข้ามากรุงเทพฯ เช่น ภรรยาของนักสอนศาสนาดีน (Rev. William Dean) ตกเลือดเนื่องจากการคลอดบุตร ดร.บรัดเลย์ได้ถ่ายเลือดจากสามีให้แม้ความรู้พื้นฐานของการถ่ายเลือดในสมัยนั้นจะรู้กันน้อยก็ตาม
๒. เป็นผู้ตั้งร้านจำหน่ายยา (dispensary) และเนื่องจากได้ให้การตรวจวินิจฉัยและการรักษาโรคจึงมีลักษณะเป็นคลินิกซึ่งเป็นแบบอย่างของคลินิกต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน คลินิกของดร.บรัดเลย์ไม่เก็บเงินการทำคลินิกแล้วเก็บค่าตรวจและค่ายาทำขึ้นตอนต่อมาโดย ดร.เฮยส์ (T. Hayward Hays)
๓. เป็นผู้นำวิธีป้องกันโรคฝีดาษซึ่งทำให้คนไทยเสียชีวิตไปปีละมาก ๆ แม้เดิมจะไม่ค่อยได้ผล คือ การใช้สะเก็ดจากแผลของผู้ป่วยเอามาปลูกต่อมาการปลูกฝีก็สำเร็จอย่างดี เมื่อ ดร.บรัดเลย์ได้สั่งพันธุ์หนองผีมาทางเรือจากเมืองบอสตันอันเป็นเหตุให้มีแพทย์ไทยออกไปฝึกการทำหนองฝีที่ประเทศฟิลิปปินส์จนนำมาใช้ได้เองในประเทศ
๔. ได้ร่วมมือกับนายแพทย์เฮาส์ไปทำการคลอดให้พระสนมของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสำหรับ ดร.เฮาส์ที่ทำงานแทน ดร.บรัดเลย์ระหว่างการไปพักผ่อนในอเมริกาก็ได้ปฏิบัติการในทางการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์เป็นที่สนใจของข้าราชการและประชาชนยิ่งขึ้นประกอบกับที่ รัชกาลที่ ๔ ทรงซาบซึ้งในทางภาษาอย่างดีโดยอาศัยบุคคลในคณะมิชชันนารีเป็นครูสอนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยอาศัยศิลปวิทยาของชาวตะวันตกเพิ่มขึ้นทีละน้อยเตรียมประเทศและประชาชนไทยให้พร้อมที่จะรับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงซึ่งได้มีขึ้นอย่างมากมายในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในทางการแพทย์ก็มีการจ้างแพทย์ชาวอังกฤษมาประจำในราชสำนัก แต่กิจการที่สำคัญที่ทำให้การแพทย์แผนปัจจุบันเข้ามาปักหลักมั่นคงในประเทศไทยก็คือพระราชดำริให้สร้างโรงศิริราชพยาบาลเป็นที่พักถาวรสำหรับราษฎรที่เกิดการป่วยไข้ขึ้นก่อนหน้านั้นถ้ามีโรคระบาดเกิดขึ้นก็อาศัยวังของเจ้านายและเคหสถานของขุนนางใหญ่ทำเป็นที่พักชั่วคราว
การสร้างโรงพยาบาลศิริราชซึ่งเป็นสภาบันการแพทย์แห่งแรกของประเทศไทยมีประวัติดังนี้
๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๙
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการเป็นคอมมิตตีจัดการโรงพยาบาลรักษาคนป่วยไข้ให้เป็นทานแก่ประชาชนทั่วไปโดยมิเลือกหน้าเป็นครั้งแรก
๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๑
ขณะที่คอมมิตตีกำลังดำเนินงานสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ก็สิ้นพระชนม์ด้วยโรคบิดทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระดำรัสว่า "แม้ลูกเราจะได้รับการรักษาพยาบาลอย่างดีก็ยังได้รับการทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้ลูกราษฎรที่ยากจนจะได้รับความทุกข์ทรมานสักเพียงใด"
๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๑
ภายหลังที่คอมมิตตีได้จัดการถากถางที่รกร้างว่างเปล่าในบริเวณวังหลังแล้วได้สร้างเป็นเรือนไม้ขึ้นใช้สำหรับการรักษาพยาบาลสำเร็จจากไม้และวัสดุจากเมรุที่ใช้ในการพระราชทานเพลิงจึงมีประกาศเปิดโรงพยาบาลรับรักษาโรคแก่ประชาชนทุกรูปทุกนามโดยมิคิดค่ารักษาและค่ายาจากคนไข้เลยและพระราชทานชื่อสถานพยาบาลนั้นว่า "โรงศิริราชพยาบาล" การรักษาใช้ทั้งยาไทยและทางการแพทย์แผนปัจจุบัน
๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๑
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เลิกคอมมิตตีจัดการโรงพยาบาลและให้ตั้งกรมพยาบาลขึ้นและโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าศรีเสาวภางคเป็นอธิบดีกรมพยาบาลองค์แรก
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๒
เนื่องจากทางการขาดแพทย์ประจำโรงพยาบาลที่สร้างขึ้นใหม่และแพทย์แผนโบราณของไทยก็ไม่นิยมมาทำงานร่วมกันทางการจึงเปิดโรงเรียนแพทย์เป็นครั้งแรกมีการสอนวิชาแพทย์แผนปัจจุบันขึ้นในโรงศิริราชพยาบาลโดยมีนายแพทย์เฮยส์แพทย์คณะมิชชันนารีเป็นอาจารย์สอนคนแรกภายหลังประกาศรับสมัครนักเรียนมีผู้มาสมัคร ๔๐ คน แต่ค่อย ๆ หายไปทีละคนสองคนที่สุดเหลือ ๑๕ คน นักเรียนแพทย์สมัยนั้นต้องทำสัญญากับกรมศึกษาธิการโดยมีข้อกำหนดว่า
(๑) กำหนดเวลาเรียน ๓ ปี
(๒) ขณะเรียนได้เงินเดือน ๆ ละ ๑๒ บาท และเบี้ยเลี้ยงอีกเดือนละ ๗ บาท
(๓) ต้องประจำอยู่ในโรงเรียนตลอดเวลาที่เรียน
(๔) เรียนครบ ๓ ปี แล้วจึงสอบถ้าสอบได้จะได้เป็นผู้ช่วยแพทย์ตามโรงพยาบาลได้เงินเดือน ๆ ละ ๒๕ บาท จนถึง ๔๐ บาท เป็นอย่างสูงถ้าสอบตกอนุญาตให้เรียนต่อไปอีก
(๕) ถ้าไม่เอาใจใส่ในการเรียนหรือละทิ้งการเรียนนับว่ากระทำผิดนักเรียนจะต้องคืนเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงต่อกระทรวงธรรมการทั้งสิ้น
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๓
มีทะเบียนนักเรียนแพทย์เป็นหลักฐานเป็นครั้งแรกนักเรียนแพทย์ในสมัยแรกนี้ได้เรียนทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณ
มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๕
นายแพทย์ ยอร์ช แมคฟาแลนด์ (George McFarland) รับตำแหน่งเป็นนายแพทย์ใหญ่ของโรงศิริราชพยาบาลและสอนวิชาแพทย์แผนปัจจุบันแก่นักเรียนด้วย
ปลาย พ.ศ. ๒๔๓๕
ได้มีการสอบไล่วิชาแพทย์เป็นครั้งแรกมีผู้สอบไล่ได้ ๙ คน
๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๖
กรมพยาบาลประกาศเปิดและตั้งชื่อโรงเรียนแพทย์ว่า "โรงเรียนแพทยากร"
๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๙
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถทรงมีพระราชเสาวนีย์โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการฝึกหัดวิชาแพทย์ผดุงครรภ์ขึ้นเพื่อเป็นการอนุเคราะห์ประชาชนทั้งหลายโดยพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์และให้กรมพยาบาลเป็นผู้จัดการสอน อาศัยอยู่ในโรงศิริราชพยาบาล
๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๙
ได้เริ่มการสอนวิชาแพทย์ผดุงครรภ์โดยโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้หญิงภาสกรวงศ์ (เปลี่ยน บุนนาค) เป็นผู้อำนวยการให้พระยาบำบัดสรรพโรคเป็นผู้สอน มีหลักสูตรการเรียน ๓ ปี
พ.ศ. ๒๔๔๐
สมเด็จพระบรมราชินีนาถขณะทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรป โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงเรียนแพทย์ให้มีทั้งที่อยู่ที่กินของนักเรียนให้เป็นหลักฐาน
๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๓
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงเรียนและพระราชทานนามว่า "โรงเรียนราชแพทยาลัย" ในปีนี้เองมีนักเรียนผดุงครรภ์สอบไล่ได้ครั้งแรก ๑๐ คน โรงเรียนแพทย์ผดุครรภ์ต้องโยกย้ายไปอยู่ที่อื่นเสีย ๓ ปี ดังนั้นนางผดุงครรภ์ที่ออกในรุ่นนี้จึงไม่ได้มีการสอบไล่หรือให้ประกาศนียบัตร เมื่อสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทจึงทรงมีพระราชเสานีย์โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงธรรมการ จัดการวางระเบียบใหม่โดยให้ติดต่อกับโรงศิริราชพยาบาล
พ.ศ. ๒๔๔๖
โอนโรงเรียนราชแพทยาลัยมาขึ้นกับกรมศึกษาธิการรับนักเรียนถึง ๑๐๐ คน สมเด็จกรมพระยาชัยนาทนเรนทร (ขณะนั้นคือ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์) เสด็จมาเป็นผู้บัญชาการราชแพทยาลัยทรงปรับปรุงการแพทย์โดยเพิ่มวิชาที่เรียนและรับนักเรียนที่มีวุฒิสูงขึ้นและทรงเสาะหาอาจารย์ผู้ช่วยสอนอีกด้วย
พ.ศ. ๒๔๔๘
ขยายหลักสูตรการศึกษาวิชาแพทย์จาก ๓ ปี เป็น ๔ ปี
พ.ศ. ๒๔๔๙
ได้ตั้งต้นฝึกหัดบุรุษพยาบาลขึ้น จนถึง พ.ศ. ๒๔๖๗ จึงหยุดรับนักเรียนประเภทนี้
พ.ศ. ๒๔๕๐
รวมวิชาแพทย์ไทยกับฝรั่งเข้าเป็นอันเดียวกันเลิกวิชาการแพทย์แผนโบราณคงให้มีแต่วิชาการแพทย์แผนปัจจุบัน
พ.ศ. ๒๔๕๖
ขยายหลักสูตรวิชาแพทย์จาก ๔ ปี เป็น ๕ ปี
๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๙
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำหรับทางด้านนักเรียนผดุงครรภ์ได้จัดวางระเบียบ และหลักสูตรใหม่ โดยมีการสอนวิชาพยาบาลโดยทั่วไปอย่างกว้างขวางอีกด้วย มีหลักสูตร ๓ ปี ครึ่ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมโรงเรียนราชแพทยาลัยและโรงศิริราชพยาบาลเข้าในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งเป็นคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล
พ.ศ. ๒๔๖๑
มหาวิทยาลัยได้ขยายหลักสูตร ๕ ปี เป็น ๖ ปี
มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๓
นายแพทย์ ไฮเซอร์ (Victor Heiser) ผู้ตรวจการของมูลนิธิร็อกกี เฟลเลอร์ เข้ามาตรวจการสาธารณสุขในประเทศพร้อมด้วยนายแพทย์บานส์ได้มาขอดูกิจการของมหาวิทยาลัยและคณะแพทยศาสตร์โดยละเอียดได้พบปะกับเจ้าหน้าที่กระทรวงธรรมการและมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีการทาบทามกันในการให้มูลนิธิช่วยเหลือการแพทย์ของประเทศไทย
๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๔
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เสนาบดีกระทรวงธรรมการ ภายหลังที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญไปยังมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ได้มีหนังสือเชิญไปยังมูลนิธิ
๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๔
มูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ ส่งนายแพทย์เปียร์สเข้ามาดูกิจการแพทย์ในประเทศไทย
๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๔
นายแพทย์เปียร์สได้ส่งระเบียบการของมูลนิธิสำหรับจัดการศึกษาแพทยศาสตร์ในคณะแพทย์มายังรัฐบาลไทยเพื่อวินิจฉัยรับรองภายหลังเมื่อรัฐบาลไทยวินิจฉัยแล้วก็ตอบรับไปและได้ทูลเชิญสมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระราชบิดา) ซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ในยุโรปเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในการติดต่อร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทางฝ่ายมูลนิธินอกจากนั้นยังทรงพระกรุณาสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์อีกเป็นจำนวนมากเข้าช่วยเหลือในการนี้ตลอดมาด้วย เช่น การสร้างสถานศึกษาและมอบทุนการศึกษา
๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๖
นับเป็นวันเริ่มต้นแห่งการร่วมมือระหว่างมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์กับรัฐบาลไทย ทางมูลนิธิได้ส่งศาสตราจารย์ เอ.จี. เอลลิส
(A. G. Ellis) ซึ่งเข้ามาแล้วครั้งหนึ่งในฐานะศาสตราจารย์ทางพยาธิวิทยา เป็นผู้แทนมูลนิธิ และเป็นผู้อำนวยการสอน และดัดแปลงวิชาการแพทย์ ได้ปรับปรุงหลักสูตรในคณะแพทยศาสตร์ เพิ่มการสอนถึงระดับปริญญา
ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๖๖-๒๔๗๗
เป็นระยะเวลา ๑๒ ปี ซึ่งการแพทย์ในประเทศไทยได้รับความร่วมมือจากมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ คือ
ก. ช่วยทุนในการสร้างตึกตามโครงการ ให้เหมาะสมเป็นสถานที่เล่าเรียนวิชาแพทย์ ตามมาตรฐานของต่างประเทศ
ข. ช่วยจัดหาศาสตราจารย์ชาวต่างประเทศมาประจำแผนกวิชาชั่วคราว รวมทั้งออกเงินเดือน และค่าใช้จ่ายเพิ่ม เฉพาะตัวศาสตราจารย์
ค. ให้ทุนคนไทยอย่างน้อยแผนกละ ๒ คนออกไปศึกษาเพิ่มเติมในต่างประเทศ เพื่อจะได้กลับเข้ามาเป็นอาจารย์
นอกจากนั้นมูลนิธิยังได้ร่วมมือช่วยปรับปรุงโรงพยาบาลศิริราช และโรงเรียนพยาบาล และผดุงครรภ์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ โดยส่งพยาบาลชาวต่างประเทศเข้ามาชั่วคราว ๕ คน และปรับปรุงทำนองเดียวกับโรงเรียนแพทย์
พ.ศ. ๒๔๗๘
เป็นปีที่การร่วมมือกับมูลนิธิสิ้นสุดลง คณะแพทยศาสตร์ และโรงพยาบาลศิริราชก็ได้ดำเนินการตามรูปงานที่ได้วางไว้
และขยายกิจการบางส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ตลอดจนได้ปรับปรุงทั้งฝ่ายวิชาการ และธุรการให้ก้าวหน้าตลอดมา เพิ่มจำนวนอาจารย์ แพทย์ และพยาบาล เจ้าหน้าที่อื่นๆ รวมทั้งสิ่งก่อสร้าง รากฐานที่วางไว้อย่างดี ทำให้สามารถดำเนินการรักษาพยาบาล และการสอนได้ตลอดสงครามโลกครั้งที่สอง การช่วยเหลือของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาหลังสงครามสงบ ก็ดำเนินไปด้วยดี บนรากฐานเดิมที่มีอยู่แล้ว
พ.ศ. ๒๔๘๕
คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระปรมาภิไธย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลได้ออกประกาศพระราชกฤษฎีกา
ตั้งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ประกอบด้วย คณะแพทยศาสตร์ และศิริราชพยาบาล คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ ซึ่งต่อมาได้ดำเนินกิจการของตนโดยอิสระ
พ.ศ. ๒๕๐๒
มีประกาศพระราชกฤษฎีกา โอนมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ จากกระทรวงสาธารณสุข ไปสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี แล้วต่อมา จึงเปลี่ยนมาสังกัดมหาวิทยาลัยมหิดล โดยเปลี่ยนชื่อจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ เป็นมหาวิทยาลัยในสังกัดของทบวงมหาวิทยาลัย มีคณะแพทยศาสตร์ ๒ คณะคือ คณะแพทยศาสตร์ศิริราช และคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี คณะสาธารณสุขศาสตร์ คณะอายุรศาสตร์เขตร้อน คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ และตั้งคณะวิทยาศาสตร์ทำการอบรมนักศึกษาในชั้นเตรียม ที่จะเข้าศึกษาต่อในคณะต่าง ๆ ซึ่งเดิมสอนที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การสร้างโรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาลศิริราชเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้การแพทย์แผนโบราณของไทยเลิกล้มไป แม้ในระยะแรกโรงพยาบาลจะให้การรักษาพยาบาลทั้ง ๒ แบบ คือ แบบ แผนโบราณ และแผนปัจจุบัน พร้อมทั้งการสอนก็สอนทั้ง ๒ แบบ เช่นกัน แต่ต่อมาการสอนการแพทย์แผนโบราณของไทยไม่เป็นที่ นิยมในหมู่นักศึกษา (ประมาณ พ.ศ. ๒๔๕๐) วิธีรักษาพยาบาล ตามการแพทย์แผนโบราณ จึงมีอยู่เฉพาะในหมู่ประชาชนเท่านั้น
จากการตั้งโรงพยาบาลศิริราชขึ้นเป็นผลสำเร็จ ทางการได้สร้างโรงพยาบาลเฉพาะเพิ่มเติมขึ้นอีกหลายแห่ง เช่น โรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลโรคจิต โรงพยาบาลโรคทรวงอก โรงพยาบาลโรคเรื้อน และสถานสงเคราะห์ผู้อนาถา เป็นต้น
เพื่อเป็นอนุสรณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงก่อสร้างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ขึ้น นอกจากจะเป็นโรงพยาบาลทั่วไปแล้ว ยังเป็นที่ทำการของสภากาชาดด้วย และต่อมาก็ได้ก่อตั้งโรงเรียนแพทย์แห่งที่ ๓ ขึ้น เป็นคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การแพทย์แผนปัจจุบันของประเทศไทยได้เจริญก้าวหน้าขึ้นอีกมาก เมื่อทางการได้ย้ายกรมสาธารณสุข ซึ่งเดิมขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย มาตั้งเป็นกระทรวงสาธารณสุข รวมการศึกษา แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัช และสัตวแพทย์ เป็นกรมมหาวิทยาลัย พร้อมกันนั้นก็กระจายกิจการแพทย์แผนปัจจุบันไปสู่หัวเมือง และชนบท ทำให้ทุกจังหวัดในประเทศไทยขณะนี้ มีโรงพยาบาลประจำจังหวัด และมีโรงพยาบาลขนาดเล็กประจำอำเภอเกือบครบถ้วน
ในการขยายกิจการแพทย์ออกไปมากขึ้น ความต้องการ แพทย์ก็มีมากขึ้นเป็นลำดับ ทางการจึงได้สร้างโรงเรียนแพทย์ ขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา และได้ขยายกิจการของ การแพทย์ของกองทัพเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ขึ้นหลายแห่ง และก่อตั้งโรงเรียนแพทย์ขึ้นเป็นแห่งที่ ๒ ในกองทัพบก (โรงเรียนนายทหารเสนารักษ์) ต่อมาได้เลิกล้ม ขณะนี้กำลังดำเนินการให้โรงเรียนแพทย์ทหาร มีมาตรฐานเท่าเทียมกับคณะแพทย์ของฝ่ายพลเรือน