Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

ยุคพัฒนา : จุดเปลี่ยนของเกวียน

Posted By Plookpedia | 22 ก.พ. 60
1,805 Views

  Favorite

ยุคพัฒนา : จุดเปลี่ยนของเกวียน

      ในอดีตเกวียนใช้ในการบรรทุกข้าวจากนาเป็นหลักเมื่อเก็บเกี่ยวและนำข้าวเก็บในยุ้งฉางแล้วจึงจะนำเกวียนมาใช้ในโอกาสอื่น ๆ ได้แก่ บรรทุกขนส่งเกลือ บรรทุกข้าวไปขายหรือนำไปแลกเปลี่ยนสิ่งของอื่น รับจ้างขนส่งสินค้าหรือพืชผลทางการเกษตร บรรทุกชักลากไม้ซุงทั้งต้น ส่วนใหญ่เป็นการใช้เกวียนในระยะทางที่ไม่ไกลมากนักแต่บางครั้งอาจใช้เกวียนเดินทางไปค้าขายในระยะทางไกล ๆ เช่น จังหวัดสระบุรี นครนายก ชลบุรี หรือต้อนวัวควายไปขายถึงกรุงพนมเปญประเทศกัมพูชาซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางเป็นเดือนหรือนานถึง ๓ เดือน

 

เกวียน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จฯ ไปทรงเปิดการเดินรถไฟสายแรก
จากกรุงเทพฯ - นครราชสีมา

 

      จุดเปลี่ยนสำคัญของการใช้เกวียนบรรทุกขนส่งและเดินทางไกล คือ การสร้างทางรถไฟสายแรกของประเทศไทยเริ่มต้นจากกรุงเทพฯ ถึงนครราชสีมา ระยะทาง ๒๖๔ กิโลเมตร โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จฯ ไปทรงเปิดการเดินรถไฟสายนี้เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ ดังนั้นการใช้เกวียนบรรทุกขนส่งหรือเดินทางจากท้องถิ่นหลายแห่งในภาคอีสานเข้าสู่กรุงเทพฯ ต้องเปลี่ยนจุดหมายมาที่นครราชสีมาเพื่อขนถ่ายสัมภาระหรือสินค้าที่สถานีรถไฟมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ระยะทางการใช้เกวียนสั้นลงกว่าเดิม นอกจากนี้ในรัชกาลที่ ๕ มีการตรากฎข้อบังคับเพื่อควบคุมการใช้เกวียนแม้จะถือกันว่าเป็นกฎหมายฉบับแรกที่ว่าด้วยการใช้เกวียนแต่ก็มีผลบังคับใช้เฉพาะจังหวัดเชียงใหม่เท่านั้น

 

เกวียน
การขนส่งทางรถไฟซึ่งเข้ามาแทนที่เกวียน

 

      ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่าควรให้ “ขนาดของล้อเกวียนกว้างเท่ากันทั่วราชอาณาจักร” และในพ.ศ. ๒๔๖๐ รัชกาลเดียวกันได้กำหนดให้มีการ “จดทะเบียนรับใบอนุญาตขับขี่ล้อเลื่อนทุกชนิดในเขตพระนครทุก ๆ ปี” ครั้นถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลจึงมีการตรา “พระราชบัญญัติล้อเลื่อนพุทธศักราช ๒๔๗๘” ให้เก็บค่าจดทะเบียนเกวียนเล่มละ ๑ บาท นับแต่เริ่มใช้จนชั่วอายุเกวียนซึ่งไม่ค่อยมีผลกระทบต่อการใช้เกวียนของชาวบ้านทั่วไปเท่าใดนัก

 

เกวียน
ใบอนุญาตใช้เกวียน

 

      จนกระทั่งพ.ศ.๒๔๙๓ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัฐบาลในขณะนั้นได้สร้างทางหลวงแผ่นดินสายสระบุรี-ปากช่อง-นครราชสีมา คือ ถนนสุดบรรทัด (เพื่อเป็นเกียรติแก่ พันโท ประเสริฐ สุดบรรทัด) และทางหลวงแผ่นดินสายนครราชสีมา-ขอนแก่น-อุดรธานี-หนองคาย คือ ถนนเจนจบทิศ [เพื่อเป็นเกียรติแก่ขุนเจนจบทิศ (ชื้น ยงใจยุทธ)] ยิ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อการใช้เกวียนมากกว่าเมื่อมีรถไฟมาถึงนครราชสีมาเพราะทางหลวงแผ่นดินทั้ง ๒ เส้นทาง มีรถบรรทุก ๔ ล้อ และ ๖ ล้อ ค่อย ๆ เข้ามามีบทบาทแทนเกวียนมากขึ้นเพราะสะดวกรวดเร็วมากกว่าเกวียน แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ยังคงใช้เกวียนกันอยู่โดยเฉพาะตามเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างชุมชนหรือหมู่บ้านต่าง ๆ ในที่ห่างไกลจากทางหลวงแผ่นดิน

 

เกวียน
จิตรกรรมฝาผนัง วัดร้องเม็ง อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
แสดงภาพชาวนากลับจากทุ่งนาสู่หมู่บ้านโดยใช้เกวียน

 

      การสร้างถนนมิตรภาพ คือ เส้นทางหลวงสายสุดบรรทัดและสายเจนจบทิศจากตำบลปากเพรียวจังหวัดสระบุรีไปสิ้นสุดที่จังหวัดหนองคาย  ในพ.ศ. ๒๕๐๐ สมัยรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์  ธนะรัชต์ นั้นได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาทั้งในด้านงบประมาณและเทคนิคในการก่อสร้างเพื่อให้เป็นถนนสายหลักใช้แทนการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์กับลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ขยายสู่อินโดจีนนอกจากนี้ได้สร้างเส้นทางสายรองเชื่อมระหว่างชุมชนเมืองและชนบทตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอย่างต่อเนื่องทำให้การเดินทางมีความสะดวกรวดเร็วและเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เส้นทางที่ใช้เกวียนจึงเหลือน้อยลงและระยะทางสั้นลงคงใช้กันระหว่างชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงกันเป็นส่วนใหญ่ เมื่อหน่วยงานของรัฐ คือ สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (รพช.) สร้างเส้นทางเชื่อมระหว่างหมู่บ้านในชนบทมากขึ้นจึงมีการใช้รถกระบะบรรทุกแทนเกวียนทำให้เกวียนส่วนใหญ่ที่เคยใช้เป็นพาหนะในการบรรทุกขนส่งและเดินทางถูกนำมาเก็บไว้ใต้ถุนบ้านเรือนซึ่งสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในหลายหมู่บ้านจนอาจกล่าวได้ว่าหลายแห่งเลิกใช้เกวียนกันไม่น้อยกว่า ๒๐ ปีแล้ว บรรดาช่างเกวียนก็เปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่นเพราะไม่มีคนสั่งทำเกวียนโดยเฉพาะเกวียนสลักลวดลายของบ้านนาสะไมย์ ได้เลิกทำมาตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๑๒ ช่างเกวียนบ้านนาสะไมย์ที่มีฝีมือในการสลักลวดลายอย่างวิจิตรบรรจงต่างเปลี่ยนไปทำงานแกะสลักบานประตูและบานหน้าต่างของโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ แทนการทำเกวียนสลักลวดลาย เกวียนที่เป็นพาหนะคู่ใจในสังคมของชาวชนบทจึงหมดความสำคัญในยุคการพัฒนาประเทศนับตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา จนกระทั่งมีคำกล่าวเปรียบเปรยว่า “เกวียนก็ซบเซาเรือก็ทรุดจม”

 

เกวียน
ล้อเกวียนนำมาดัดแปลงเป็นส่วนประกอบของเครื่องเรือน

 

      ปัจจุบันคนเริ่มหันกลับมาสนใจวัฒนธรรมในอดีตกันมากขึ้นจึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ตระหนักถึงคุณค่าของเกวียนและกลับมาให้ความสำคัญอีกครั้งหนึ่งทำให้ช่างเกวียนที่มีอยู่จำนวนไม่มากในที่ต่าง ๆ เช่น บ้านนาสะไมย์ อำเภอเมืองฯ จังหวัดยโสธร บ้านใจดี อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้มีโอกาสกลับมารื้อฟื้นทักษะฝีมือช่างและภูมิปัญญาอีกครั้งแต่เป็นการทำเกวียนขนาดเล็กและขนาดกลางสำหรับใช้เป็นของที่ระลึกและจัดแสดงเท่านั้น ส่วนเกวียนเก่าที่ถูกทิ้งร้างไว้ก็ได้นำไปตกแต่งสวนรวมถึงชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเกวียนที่เป็นไม้เนื้อแข็งก็นำไปเป็นเครื่องตกแต่งที่อยู่อาศัย สวนหย่อม รั้วบ้าน ตลอดจนนำไปแปรรูปหรือประกอบขึ้นใหม่เป็นเครื่องเรือนและเครื่องใช้ต่าง ๆ ถึงแม้จะเป็นเพียงเครื่องตกแต่งบ้านหรือสถานที่ต่าง ๆ แต่ก็ทำให้คนรุ่นหลังยังมีโอกาสได้พบเห็นรู้จักและได้ศึกษาเรื่องเกวียนทำให้เกิดความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าของบรรพชนไทยในอดีต

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
  • Posted By
  • Plookpedia
  • 15 Followers
  • Follow