รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๔๐ เป็นผลพวงจากการต่อสู้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนมาเป็นเวลายาวนานและประชาชนได้มีส่วนร่วมในการเสนอความคิดและร่วมร่างรัฐธรรมนูญนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองของไทยที่รัฐธรรมนูญได้มีบทบัญญัติปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้อย่างกว้างขวางโดยกำหนดกลไกต่าง ๆ ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ได้แก่
เป็นองค์กรซึ่งมิได้พิจารณาพิพากษาอรรถคดีทั่วไปแต่มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยเฉพาะคดีที่มีปัญหากฎหมายเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ หน้าที่หลักของศาลรัฐธรรมนูญ คือ การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้เพื่อรักษาความเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
๑. เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยส่วนรวม
โดยมิให้มีการบัญญัติกฎหมายที่กระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้
๒. เพื่อประโยชน์ในการปกครองประเทศ
ด้วยการรักษาดุลยภาพการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละองค์กรตามที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญอันเป็นกระบวนการถ่วงดุลอำนาจระหว่างองค์กรต่าง ๆ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในระบอบ ประชาธิปไตย
๓. เพื่อคุ้มครองปกป้องรัฐธรรมนูญ ให้ดำรงรักษาความเป็นกฎหมายสูงสุดเอาไว้
เมื่อบทบัญญัติกฎหมายใดมีข้อความหรือเจตนารมณ์ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญก็จะต้องมีการควบคุมโดยวินิจฉัยให้กฎหมายนั้นไม่มีผลใช้บังคับศาลรัฐธรรมนูญมีองค์ประกอบดังนี้ คือ มีประธานศาลรัฐธรรมนูญ ๑ คน และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอื่น ๆ อีก ๑๔ คน รวมเป็น ๑๕ คน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง ๑๕ คน มาจากบุคคลต่อไปนี้
ศาลรัฐธรรมนูญจะคุ้มครองสิทธิมนุษยชนให้แก่ประชาชนได้ถึงแม้ว่าประชาชนทั่วไปไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง เนื่องจากการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเพื่อการคุ้ม ครองสิทธิมนุษยชนนั้นสามารถทำได้ ๒ วิธี คือ
๑. ใช้สิทธิทางศาล คือ ส่งเรื่องผ่านทางศาลเพื่อให้ส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ตัวอย่างเช่น ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในป่ามาก่อนการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติและภายหลังได้ถูกให้อพยพออกจากที่อยู่ที่ทำกินโดยถูกฟ้องต่อศาลว่าฝ่าฝืนพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติมาตราตามที่ถูกฟ้องนั้นอาจขัดหรือแย้งต่อสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๔๖ ขอให้ศาลได้ส่งข้อโต้แย้งนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตีความวินิจฉัย
๒. ใช้สิทธิผ่านกระบวนการของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เช่น ผู้พิการที่มีความรู้ความสามารถสอบเข้าทำงานในส่วนราชการได้แต่ถูกปฏิเสธการเข้าทำงานจากส่วนราชการโดยอ้างระเบียบปฏิบัติบางประการซึ่งถือเป็นการเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งสภาพทางร่างกายหรือสุขภาพอันขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๐ วรรค ๒ ผู้พิการคนนั้นอาจส่งเรื่องร้องเรียนมายังผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเพื่อให้ส่งเรื่องร้องเรียนนั้น ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา
เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบ การใช้อำนาจของทางราชการเพื่อปกป้องสิทธิของประชาชนและคุ้มครองประโยชน์ของส่วนรวมให้ได้ดุลยภาพกันและเพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องในการปฏิบัติราชการ ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรืออยู่ในกำกับดูแลของรัฐบาลกับเอกชนหรือระหว่างหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่อยู่ในบังคับบัญชาหรืออยู่ในกำกับดูแลของรัฐบาลด้วยกันซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำของหน่วยงานต่าง ๆ ดังกล่าว หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติ
ศาลปกครองแบ่งออกเป็น ๒ ชั้นศาล คือ ศาลปกครองสูงสุดและศาลปกครองชั้นต้นโดยมีโครงสร้างและเขตอำนาจตามแผนผังต่อไปนี้ คณะกรรมการตุลาการศาลปกครองประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ และผู้ทรงคุณวุฒิ ในการบริหารราชการแผ่นดินมีจำนวน ๑๓ คน ผู้ที่มีสิทธิฟ้องคดีปกครอง คือ
๑. ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือได้รับความเสียหายจากการกระทำหรืองดเว้นการกระทำของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
๒. ผู้ที่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง
๓. ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาในกรณีที่เห็นว่ากฎหรือการกระทำของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
๔. กรณีอื่นที่มีกฎหมายกำหนดให้ฟ้องต่อศาลปกครอง
เป็นสถาบันที่จัดตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบการใช้ดุลยพินิจของฝ่ายบริหารมิให้ใช้อำนาจตามอำเภอใจในการดำเนินการบริหารบ้านเมือง ด้วยเหตุนี้สถาบันนี้จึงต้องมีอำนาจพอสมควรในการสอบสวนการกระทำหรือการละเลยการกระทำของฝ่ายบริหารต้องมีความเป็นอิสระในการดำเนินงานและที่สำคัญจะต้องเป็นสถาบันที่เยียวยาให้แก่ผู้ที่เดือดร้อนซึ่งมักเป็นประชาชนให้ได้รับความยุติธรรม องค์ประกอบของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภามีจำนวนไม่เกิน ๓ คน โดยการแต่งตั้งจากผู้ที่ประชาชนให้การยอมรับนับถือมีความรอบรู้และมีประสบการณ์ในการบริหารราชการแผ่นดินรัฐวิสาหกิจ หรือกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ร่วมกันของสาธารณะและมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภามีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียน ในเรื่องดังต่อไปนี้
๑. เรื่องที่ข้าราชการพนักงานของรัฐหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่
๒. เรื่องที่ข้าราชการ พนักงานของรัฐหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ปฏิบัติหรือละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่โดยก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียนหรือประชาชนโดยไม่เป็นธรรมไม่ว่าการปฏิบัตินั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายก็ตาม ผู้ที่มีสิทธิร้องเรียนหรือส่งเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา คือ
ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นกลไกหลักในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและสานต่อเจตนารมณ์ของประชาชนที่สะท้อนอยู่ในรัฐธรรมนูญให้เกิดผลที่เป็นจริง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติประกอบด้วยประธานกรรมการ ๑ คน และกรรมการอีก ๑๐ คน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทั้ง ๑๑ คน ได้รับการเลือกสรรจากคณะกรรมการสรรหาซึ่งเสนอรายชื่อผู้ที่มีความรู้หรือมีประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจำนวน ๒๒ คน เพื่อให้วุฒิสภาเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุด ๑๑ คน มีวาระการดำรงตำแหน่ง ๖ ปี และดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว
พระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ กำหนดหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ไว้ สรุปได้ดังนี้
๑. ส่งเสริมการเคารพและการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ
๒. ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ไทยเป็นภาคีและเสนอมาตรการแก้ไขที่เหมาะสม
๓. เสนอแนะนโยบายและการแก้ไขกฎหมายเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
๔. ส่งเสริมการศึกษา วิจัย และเผยแพร่ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชน
๕. ส่งเสริมความร่วมมือและการประสานงานระหว่างหน่วยราชการองค์การเอกชนและองค์การอื่น ๆ ด้านสิทธิมนุษยชน
๖. จัดทำรายงานประจำปีเพื่อประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายในประเทศและผลการปฏิบัติงานประจำปี
๗. เสนอความเห็นในกรณีที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชน
การร้องเรียนกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติผู้ที่มีสิทธิร้องเรียน คือ