ในสมัยโบราณคนรู้จักนำสัตว์มาเลี้ยงเพื่อใช้เป็นอาหาร เพื่อช่วยในการทำงาน สัตว์เลี้ยงประเภทสัตว์ใหญ่ ได้แก่ ช้าง ม้า โค กระบือ สมัยที่คนยังไม่มีเครื่องจักร เครื่องยนต์ให้ทุ่นแรงคนก็ได้อาศัยสัตว์เหล่านี้ทำงานประเภทหนัก เช่น ใช้ช้างลากซุง ใช้ม้าขับขี่ เดินทางทั้งในระยะทางใกล้ ๆ และระยะทางไกล ๆ ใช้โค กระบือ ไถนา นวดข้าว ในยามศึกสงครามก็ใช้ม้า ใช้ช้าง ขับขี่รบพุ่งใน สนามรบ การค้าขายและการเดินทางไปมาหาสู่กันจากเมืองหนึ่งไปยังเมืองหนึ่งหนทางที่ไปนั้นอาจต้องข้ามภูเขา ผ่านป่า ข้ามลำห้วย ลำธาร การใช้ม้าเป็นพาหนะขับขี่และขนสัมภาระจะสะดวกและรวดเร็วกว่าการเดินเท้าและแบกหามสัมภาระโดยใช้แรงคนเนื่องจากม้าเป็นสัตว์รวดเร็วปราดเปรียวกว่าช้างและโค กระบือ คนจึงนิยมใช้ม้าเป็นพาหนะขับขี่ บ้านเมืองเราโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครสมัยที่ผู้คนมีรถยนต์ใช้ไม่มาก มีถนนน้อยสายแต่ละสายก็ไม่กว้างนาน ๆ จะมีรถยนต์แล่นผ่าน มีรถรางวิ่งเป็นรถประจำทางในถนนบางสาย ชีวิตประจำวันในการเดินทางของผู้คนสมัยนั้นส่วนใหญ่จะใช้การเดินเท้า ผู้มีฐานะค่อนข้างดีก็จะนั่งรถม้าไปทำงาน ลูกหลานนั่งรถม้าไปโรงเรียน รถม้าประเภทนี้ปัจจุบันยังมีใช้อยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
ปัจจุบันนี้ยังคงมีการเลี้ยงม้ากันตามความต้องการของแต่ละหน่วยงาน ภาคเอกชนนิยมเลี้ยงไว้ใช้ในการกีฬา เช่น กีฬาแข่งม้า กีฬาโปโล กีฬาขี่ม้าข้ามเครื่องกีดขวาง และเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์ม้าดี ๆ ไว้เพื่อจำหน่ายเป็นสินค้า ภาครัฐบาลยังมีการเลี้ยงม้าสำหรับใช้ในราชการ เช่น เลี้ยงไว้ฝึกใช้ในกิจการทหารม้า ตำรวจม้า และเลี้ยงม้าไว้ใช้ในการผลิตวัคซีน เซรุ่ม ผู้ที่มีอาชีพจัดการแสดงละครสัตว์ก็นิยมเลี้ยงม้า ฝึกม้าไว้แสดงละครสัตว์ เช่น การวิ่งแบบต่าง ๆ เต้นระบำตามจังหวะเสียงเพลง แสดงการขี่ม้าผาดโผน สถานที่เลี้ยงม้าส่วนใหญ่จะอยู่ในชนบทเพราะมีบริเวณกว้างขวาง อากาศดี มีทุ่งหญ้าที่เหมาะกับการปลูกหญ้าไว้เป็นอาหารม้า ประเทศไทยมีการเลี้ยงม้าที่แพร่หลาย คือ ที่จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดสระบุรี จังหวัดนครราชสีมา มีคอกม้าบำรุงพันธุ์ม้าเพื่อใช้ในกิจการที่ต้องการ
ม้าเป็นสัตว์ที่คนนำมาเลี้ยงไม่ต่ำกว่า ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว ม้าจึงเปรียบเหมือนสมาชิกภายในบ้านเป็นทั้งผู้รับใช้และเป็นทั้งเพื่อนไปในตัว ม้าเป็นสัตว์ตระกูลสูงที่มีประโยชน์ทั้งในเวลาปกติและในเวลาสงครามสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้รักษาเอกราชและความเป็นไทของชาติไทยไว้ให้กับคนรุ่นหลังก็ได้อาศัยม้าไว้เป็นเครื่องมือสำคัญในการขี่ออกรบเพราะในสมัยก่อนไม่มียวดยานพาหนะและทางคมนาคมก็ไม่สะดวกอย่างในสมัยนี้
พันธุ์ม้ามีอยู่ประมาณ ๑๗๐ พันธุ์ แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ ม้าและโพนี่ โดยใช้ความสูงเป็นตัวแบ่ง ถ้าสูงกว่า ๑๔.๒ แฮนด์ เรียกว่า ม้า ส่วนที่ต่ำกว่า ๑๔.๒ แฮนด์ เรียกว่า โพนี่ กลุ่มที่เรียกว่า ม้า ยังแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ ม้างานและม้าขี่ ม้างานอาจเรียกว่าม้าเลือดเย็น ม้าขี่เรียกว่าม้าเลือดอุ่น แต่ทั้งม้าเลือดเย็นและม้าเลือดอุ่นต่างก็มีอุณหภูมิร่างกายเท่ากัน คือ ๑๐๐.๕ องศาฟาเรนไฮต์ หรือ ๓๘ องศาเซลเซียส
ม้าใช้งานจะมีรูปร่างใหญ่ แข็งแรง ลำตัวหนาเหมือนวัว นิสัยสงบเงียบ ส่วนม้าใช้ขี่รูปร่างเพรียว กระดูกสมส่วน นิสัยคล่องแคล่วว่องไว รูปร่างของม้าโพนี่ที่ดีเมื่อดูแล้วจะต้องได้สัดส่วนและสมดุล เราอาจสังเกตดูนิสัยม้าได้จากนัยน์ตาม้าถ้าตาเล็กนิสัยจะไม่ดีโดยธรรมชาติม้าจะมีนิสัยตื่นตกใจง่าย ดังนั้นเราจะต้องเข้าหามันด้วยความนุ่มนวล เมื่อม้าทำผิดเราจะต้องทำโทษทันทีมิฉะนั้นมันจะจำไปตลอดและลืมยาก แต่เมื่อทำดีเราจะต้องชมโดยตบที่คอเบา ๆ นิสัยไม่ดีของม้าใช่มีมาแต่กำเนิดแต่เกิดจากสิ่งแวดล้อมในภายหลังเราสามารถจะแก้ได้โดยอาศัยคนเลี้ยง คนเลี้ยงม้าที่ดีจะต้องเป็นคนเงียบ เรียบร้อย มีความเมตตาต่อสัตว์ไม่ลุกลี้ลุกลนทำอะไรต้องสม่ำเสมอและมั่นคง
ม้าที่ใช้งานในประเทศ ในปัจจุบันมี ๓ ชนิด
ม้าเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่มีสีขนมากมายจนบางครั้งทำให้ยุ่งยากในการเรียกให้ถูกต้อง สีที่เรียกอย่างเดียวกันก็ยังมีสีอ่อน สีแก่หรือสีเดียวกันแต่สีของขนแผงคอและหางต่างกันก็เรียกชื่อต่างไปอีก ลูกม้าบางตัวเมื่อแรกเกิดสีจะไม่เหมือนเมื่อมันโตขึ้น คนไทยเราแบ่งสีม้าออกได้เป็น ๓ ประเภท คือ สีล้วน สีแซม และสีผ่าน