การออกไปเที่ยวในที่นี้ไม่ใช่การไปเดินห้างซึ่งเป็นกิจกรรมซ้ำๆ เดิมๆ ของคนในเมือง แต่การออกไปเที่ยวที่พูดถึงคือ การออกไปสัมผัสกับธรรมชาติ ให้ธรรมชาติบำบัดฟื้นฟูร่างกายของเรา ซึ่งไม่ใช่การพูดลอย ๆ เพราะวิทยาศาสตร์ระบุแล้วว่าดีจริง
คุณงามความดีของการออกไปสัมผัสกับธรรมชาติอันดับแรกก็คือ การช่วยฟื้นฟูสายตา เพราะเวลาที่อยู่ในบ้านหรือในที่ทำงาน คนส่วนใหญ่จะนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ซึ่งการจ้องคอมพิวเตอร์นาน ๆ นำไปสู่อาการ Computer Vision Syndrome (CVS) เช่น ตาแห้ง ตาพร่ามัว ตาลาย ปวดศีรษะ ไปจนถึงการสูญเสียการมองเห็นได้ เนื่องจากการอ่านหนังสือหรือดูคลิปวิดีโอจากคอมพิวเตอร์ แสงอาจไม่เพียงพอ ภาพหรือตัวหนังสือไม่ชัดเจน ทำให้ต้องใช้สายตามากกว่าปกติ นอกจากนี้แล้วสายตาของคนเรายังไวต่อแสงไฟจากหลอดไฟฟ้า ซึ่งก็มีผลต่อสายตาของเราด้วย โดยจากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอระบุว่า ผู้ที่ใช้เวลานอกบ้านอย่างน้อย 2 ชั่วโมงต่อวันมีโอกาสที่จะสายตาสั้นน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้เวลานอกบ้านเลยถึง 4 เท่า
ความดีอันดับต่อมาคือ การที่ร่างกายได้รับแสงแดด จะช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างวิตามิน D ตามธรรมชาติได้เอง เช่นเดียวกับที่เราเคยรู้กันมานมนาน โดยนักวิจัยกล่าวว่า ภาวะขาดวิตามิน D สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไปในวัยผู้ใหญ่ และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อร่างกายของเราเลย เพราะวิตามินดีสามารถช่วยป้องกันโรคเรื้อรังบางอย่างได้ และยังช่วยต่อสู้กับไข้หวัด อาการติดเชื้อต่าง ๆ รวมถึงมีอิทธิพลต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายที่จะช่วยต่อสู้กับแบคทีเรียและไวรัสได้
ในการศึกษาวิจัยงานหนึ่ง พบว่า ระดับคอร์ติโซล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่แสดงให้เห็นถึงภาวะความเครียดนั้นมีปริมาณลดลง เมื่อได้ออกไปอยู่ในป่าเป็นระยะเวลา 2 คืน ส่วนการศึกษาวิจัยอื่นๆ พบว่ามีการลดลงของอัตราการเต้นของหัวใจและระดับคอร์ติโซลเช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการอยู่ในป่ากับในเมือง จึงกล่าวได้ว่าความเครียดสามารถจัดการได้ด้วยธรรมชาติบำบัด แม้แต่ผู้ที่ทำงานในสำนักงาน และได้เห็นภาพธรรมชาติจากหน้าต่างก็เกี่ยวพันกับการลดลงของความเครียดด้วย
การศึกษาวิจัยหลาย ๆ งาน แสดงให้เห็นว่าการเดินอยู่ในธรรมชาติ มีผลต่อหน่วยความจำ สำหรับการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้ทดสอบความจำระยะสั้นของผู้เข้าร่วมงานวิจัย แล้วแบ่งกลุ่มเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้เดินในสวนพฤกษชาติ ส่วนอีกกลุ่มให้เดินในเมือง เมื่อผู้เข้าร่วมกลับมาก็ทดสอบอีกครั้ง ผู้ที่เดินท่ามกลางธรรมชาติเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์จดจำได้ดีกว่าการทดสอบครั้งแรก มันช่วยให้สมาธิดีขึ้นหลังจากการเดินท่ามกลางธรรมชาตินานถึง 20 นาที ส่วนผู้ที่เดินในเมืองไม่มีอะไรดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งก็พบว่า ผู้ที่อยู่กับธรรมชาติ 4 วัน (ใช้เวลาพักกลางวันเดินในสวน) สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการคิดแก้ปัญหาได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ได้ถึง 81 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเด็กที่มีสมาธิสั้นก็มีคะแนนสอบเรื่องสมาธิที่ดีขึ้นด้วย