เพราะเด็กจะเริ่มรับรู้นิทานจากภาพที่มองเห็นและเสียงที่ได้ยิน โดยเริ่มเรียนรู้ความหมายไปทีละเล็กทีละน้อย จนสามารถเชื่อมโยงภาพ ตลอดจนจดจำเนื้อหาและเรื่องราวต่าง ๆ ที่นำไปสู่การอ่านตัวหนังสือได้อย่างมีความหมายต่อไป
ที่สำคัญนิทานยังช่วยพัฒนาทั้งทักษะการฟังและการพูด อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยส่งเสริมจินตนาการให้แก่เด็ก รวมทั้งยังเป็นการฝึกสมาธิให้เด็กได้รู้จักสำรวจและจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ฟังในแต่ละหน้า ซึ่งทักษะทั้งหลายเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่นำไปสู่การเตรียมความพร้อมเรียนรู้ในเรื่องต่าง ๆ ต่อไป
• เด็กอายุ 0 – 1 ปี : นิทานที่เหมาะสมในวัยนี้ ควรเป็นหนังสือภาพที่เป็นภาพเหมือนรูปสัตว์ ผัก ผลไม้ สิ่งของในชีวิตประจำวัน และเขียนเหมือนภาพของจริง มีสีสันสวยงาม ขนาดใหญ่
• เด็กอายุ 2 – 3 ปี : ในวัยนี้เด็กแต่ละคนจะเริ่มชอบต่างกัน หนังสือที่เหมาะสม ควรเป็นภาพเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน สัตว์ สิ่งของ
• เด็กอายุ 4 – 6 ปี : เด็กวัยนี้มีจินตนาการสร้างสรรค์ อยากรู้อยากเห็นสิ่งรอบตัวเกี่ยวกับธรรมชาติ นิทานที่เหมาะสมกับเด็กวัยนี้ควรเป็นนิทานที่เป็นเรื่องที่ยาวขึ้น แต่เข้าใจง่าย ส่งเสริมจินตนาการ และอิงความจริงอยู่บ้าง เนื้อเรื่องสนุกสนานน่าติดตาม มีภาพประกอบที่มีสีสันสดใสสวยงาม มีตัวอักษรบรรยายเนื้อเรื่องไม่มากเกินไป และมีขนาดใหญ่พอสมควรใช้ ภาษาง่าย ๆ ที่เด็กสามารถอ่านตามได้
ในการเล่านิทานแต่ละเล่มนั้นคุณพ่อคุณแม่อาจมีการใช้วิธีในการเล่าที่แตกต่างกันได้ เพื่อกระตุ้นให้ลูกเกิดความสนใจ ติดตามฟังเนื้อเรื่องจนจบ ในบางเรื่องอาจเป็นการเล่าปากเปล่า บอกเล่าเรื่องราวด้วยการเน้นน้ำเสียงและท่าทางที่น่าสนใจ หรือในบางเรื่องอาจเป็นการเล่าแบบการใช้อุปกรณ์ เช่น หุ่นมือ หุ่นนิ้ว ตุ๊กตา หรืออุปกรณ์รอบตัวที่มีอยู่ในบ้าน มาช่วยเสริมเรื่องราวให้นิทานมีความสนุกสนานและน่าสนใจขึ้นก็ได้
ในการเล่านิทานแต่ละเรื่องนั้น การขึ้นต้นเรื่องที่จะเล่า ควรดึงดูดความสนใจเด็ก โดยค่อยเริ่มเล่าด้วยเสียงชัดเจน ลีลาของการเล่าช้า ๆ และเริ่มเร็วขึ้น จนเป็นการเล่าด้วยจังหวะปกติ ใช้น้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง แสดงให้สอดคล้องกับลักษณะของตัวละครแต่ละตัว ไม่ควรเล่าเนือย ๆ เรื่อย ๆ เพราะทำให้ขาดความตื่นเต้น และเด็กจะไม่เกิดอารมณ์ร่วมในการฟัง และนิทาน 1 เรื่องไม่ควรใช้เวลาในการเล่าเกิน 15 นาที
เมื่อเล่านิทานจบคุณพ่อคุณแม่อาจชวนลูก ๆ ตั้งคำถาม และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนิทานเรื่องนั้น ๆ ซึ่งการทำกิจกรรมนี้จะเป็นตัวช่วยให้ลูกฝึกทักษะการสังเกตได้เป็นอย่างดี
สุภาพรรณ ศรีสุข (ครูแหม่ม)
ที่ปรึกษาวิชาการ โรงเรียนศิลปพัฒนาการสมองเด็ก K.D.S.